มหาลัย

สาขาเปิดใหม่

สาขาเปิดใหม่ 5 สาขา น่าเรียน ในรั้วมหวิทยาลัยไทย ในยุคปัจจุบัน

เมื่อตอนเป็นเด็กคงเคยได้ยินคำถามยอดฮิตว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร บางคนอาจจะรู้คำตอบว่าอยากจะเรียนหรือจบไปทำอะไรแต่ก็ยังมีอีกหลายๆคนที่ยังไม่รู้ตัวเองว่าอยากจะทำอะไรกันแน่ เมื่อถึงเวลาต้องเลือกเรียนต่อมหาลัยถือเป็นการเลือกเส้นทางใหม่ที่อยากจะทำ มีคณะสาขามากมายให้เลือกเรียนคณะที่หลายๆคนอาจจะรู้จักดี เช่น คณะแพทย์ คณะนิติศาสตร์ คณะบริหาร เป็นต้น คณะที่กล่าวยกตัวอย่างเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีสาขาเปิดใหม่อีกมากเพื่อตอบสนองตลาดแรงงานของประเทศหรือความต้องการในยุคปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ นักเขียนจึงจะมาแนะนำ 5 สาขาเปิดใหม่ ที่น่าสนใจในยุคปัจจุบันเพื่อเป็นทางเลือกใหม่สำหรับใครหลายๆคน แนะนำ 5 สาขาเปิดใหม่ น่าเรียน มีอะไรบ้างมาดูกัน สาขาวิชาวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมข้อมูล เป็นการใช้ความรู้ทั้งทางด้านคณิตศาสตร์ สถิติ คอมพิวเตอร์ และนวัตกรรม ในการประยุกต์ใช้ข้อมูลที่ถือว่าสำคัญมากในยุคดิจิทัลมาปรับใช้ในธุรกิจ ผู้เรียนจะได้เรียนรู้ปฏิบัติงานจริงจากปัญหาและความต้องการของธุรกิจ เป็นสาขาเปิดใหม่ที่เหมาะกับยุคปัจจุบันที่ต้องมีการจัดการข้อมูลจำนวนมากอย่างยิ่ง สาขาทัศนมาตรศาสตร์ เป็นการเรียนเกี่ยวกับด้านสายตาแต่ไม่ใช่การผ่าตัดตา เรียนเกี่ยวกับตรวจวัดสายตา  วินิจฉัยและรักษาโรคทางตา เช่น โรคต้อหิน โรคต้อกระจก เป็นต้น สาขาวิชาวิศวกรรมคอนเสิร์ตและมัลติมีเดีย เป็นสาขาเปิดใหม่ที่กำลังต้องการในตลาดอุตสาหกรรมด้านคอนเสิร์ตและมัลติมีเดียในยุคปัจจุบัน เป็นการเรียนเกี่ยวกับแสง สี เสียง และโครงสร้างเวที นอกจากนี้ยังต้องเรียนรู้ด้านความปลอดภัยในการจัดคอนเสิร์ตอีกด้วย เป็นอีกสาขาที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก สาขาวิทยาศาสตร์การประกอบอาหารและการจัดการการบริการอาหาร เป็นสาขาที่นำความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ด้านโภชนาการอาหาร และความรู้ด้านอาหารมาประยุกต์ใช้ด้วยกัน นอกจากนี้ยังเรียนรู้เทคนิคการบริการทางอาหารสามารถเข้าใจ และแก้ปัญหาในธุรกิจด้านอาหารได้ สาขาวิชาวิศวกรรมด้านความปลอดภัยและการพิสูจน์หลักฐานทางคอมพิวเตอร์…

คณะที่เรียนจบมามีงานทำ

คณะที่เรียนจบมามีงานทำ เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานไทย ในปัจจุบัน

น้อง ๆคนไหนที่ยังไม่สามารถเลือกได้ว่าอยากจะเข้าอะไร อยากจะทำอาชีพอะไรกันแน่หรือตัวเองยังไม่ได้มองคณะไหน ๆไว้เลย วันนี้เราก็มีคณะดี ๆน่าเข้าจะมาแนะนำให้กับน้อง ๆกัน เผื่อที่ว่าอาจจะได้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับคนที่ยังเคว้งคว้างนะคะ โดยคณะที่เราจะนำมาแนะนำในวันนี้จะเป็น คณะที่เรียนจบมามีงานทำ แน่นอน จะเป็นคณะสายงานมที่เป็นที่ต้องการอย่างมากในแรงงานไทย ซึ่งจะมีคณะไหนกันบ้างนั้นเราไปดูกันเลยค่ะ แนะนำ 4 คณะที่เรียนจบมามีงานทำ ไม่ตกงานแน่นอน คณะบริหารธุรกิจ สำหรับคณะที่เรียนจบมามีงานทำ คณะแรกนี้ต้องบอกเลยว่ายังเป็นคณะที่มีความต้องการสูง เนื่องจากตราบใดที่ยังมีความต้องการในด้านอุปโภคและบริโภค คณะนี้ก็ยังคงเป็นที่ต้องการอยู่อย่างแน่นอน นอกจากนี้คณะบริหารธุรกิจยังเป็นคณะที่เราสามารถนำไปปรับใช้ได้หลายสาขาวิชาชีพ จึงทำให้คนที่จบมากจากคณะนี้สามารถนำเอาวิชาชีพไปประยุกต์ใช้หางานเพิ่มเติมในสายงานอื่น ๆได้อีกด้วย คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มาที่คณะที่เรียนจบมามีงานทำต่อมากันเลยสำหรับคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี โดยถ้าใครได้เรียนคณะนี้คุณก็ยิ้มหวานได้เลย เพราะเป็นคณะที่ไม่มีใครสามารถแย่งงานคุณได้ เป็นสายวิชาชีพที่ต้องจบจากคณะนี้โดยตรงจึงจะสามารถทำได้ อีกทั้งในตลาดแรงงานการบัญชีก็ยังเป็นอาชีพที่ต้องการในสายงานต่าง ๆมากมายอีกด้วย ดังนั้นถ้าใครที่ชอบการคิดเลข คำนวณต่าง ๆ ชอบตัวเลข ก็แนะนำคณะนี้เลยค่ะ มีงานทำแน่นอน คณะวิศวกรรมสาขาซอฟต์แวร์ เป็นคณะที่เรียนจบมามีงานทำ ที่เรียกได้ว่าในยุคนี้เค้ามาแรงมากจริง ๆ ใครจบจากคณะนี้มีงานกันทุกคน เนื่องจากในปัจจุบันมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามามายแถมยังเป็นยุคแห่งสังคมออนไลน์ ดังนั้นไม่ว่าผู้คนจะทำอะไรก็ต้องพึ่งพาเกี่ยวกับพวกนี้แน่นอน นวัตกรรมหรือซอฟต์แวร์ใหม่ ๆก็มีให้เราเห็นกันมากขึ้น ดังนั้นความต้องการก็มีมากขึ้น…

ภาวะสมองล้า ในเด็กวัยเรียน

ภาวะสมองล้า เป็นอย่างไร เช็คได้อย่างไร และต้องแก้ปัญหานี้อย่างไร

น้อง ๆ นักเรียนนักศึกษาที่ต้องเรียนหนังสือวันละหลาย ๆ ชั่วโมง จนทำให้รู้สึกเหนื่อยล้า หรือมีอาการสมองล้า ซึ่งเป็นสาเหตุให้ การเรียนในห้อง การอ่านหนังสือ และการเรียนรู้ทั่วไปด้อยประสิทธิภาพลง ดังนั้นหากน้อง ๆ รู้สึกว่าตนเองมีภาวะเหล่านี้ ก็อาจเป็นไปได้ว่านี่คือสัญญาณเตือนจากสมองว่ากำลังประสบปัญหา ภาวะสมองล้า และต้องการบำรุงโดยด่วนแล้ว สัญญาณเตือนความเสี่ยง ภาวะสมองล้า -จะมีปัญหาเรื่องภาษา มักจะใช้คำพูดไม่ถูก เช่น กว่าจะเรียกสิ่งของนั้นได้ ก็ต้องมีการใบ้คำกันวุ่นวาย –ภาวะสมองล้าอีกอย่างก็คือ จะไม่ค่อยรู้เรื่องของเวลา เช่น ไม่รู้ว่าตอนนี้เช้า หรือค่ำแล้ว -ความจำบางเรื่องขาดหายไป หรือสูญเสียความจำ ซึ่งมีผลต่อการเรียนและการใช้ชีวิต -บุคลิกภาพจะเปลี่ยนแปลงไป บ้าง เช่นจากคนที่สดใสก็จะกลายเป็นคนเงียบขรึมหรือเครียดง่าย -ความคิดตัน ขาดความสร้างสรรค์ แม้ว่าเมื่อก่อนจะเป็นคนที่ครีเอตมากก็ตาม -การตัดสินใจไม่ดี มักตัดสินใจผิดพลาดบ่อย ๆ -เด็กที่มีเกิดภาวะสมองล้าประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลง จะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องนามธรรม ซึ่งจะเป็นปัญหาในการเล่าเรียนโดยเฉพาะวิชาที่เกี่ยวกับการคิดวิเคราะห์   -อารมณ์จะขึ้น ๆ ลง ๆ เสมอ…

ห้องเรียนกลับด้าน การเรียนการสอนแบบใหม่ที่ตรงใจนักเรียน

ห้องเรียนกลับด้าน การเรียนการสอนแบบใหม่ ที่ตรงใจนักเรียน

อย่าเพิ่งตกใจว่า ห้องเรียนกลับด้าน เป็นการเรียนในห้องเรียนเอียงๆ หรือกลับด้านแบบเอาขาชี้ฟ้า…  แต่เป็นการเรียนการสอนแบบใหม่ที่ปฏิวัติการศึกษาและความเชื่อเดิมๆ ของทั้งครูและนักเรียน  ซึ่งทางอเมริกาเขาวิจัยมาแล้วว่าทำให้นักเรียนมีผลการเรียนดีขึ้นอย่างชัดเจน  มาดูกันว่าคืออะไร ห้องเรียนกลับด้าน คืออะไร ดีอย่างไร ห้องเรียนแบบเก่า สิ่งที่เกิดในห้องเรียนจะมีการเรียนการสอนปกติ  บางโรงเรียนที่มีเทคโนโลยีหน่อยก็จะให้นักเรียนศึกษาหาความรู้ผ่านทางอินเทอร์เน็ต  และเมื่อนักเรียนกลับบ้านแล้วก็จะมีการบ้านติดตัวไปให้ทำเพื่อฝึกฝน ห้องเรียนกลับด้านหรือที่เรียกว่า  Flipped  Classroom  มีรายละเอียดที่น่าศึกษา  ดังนี้ สิ่งที่เกิดในห้องเรียน คือ  จัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อการเรียนรู้  (เป็นการจัดกิจกรรมหรือให้ทำงานที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในวิดีโอที่ให้นักเรียนดู  โดยครูมีหน้าที่ชี้แนะแต่ไม่ชี้นำ  เรียกว่าเป็นผู้ช่วยเหลือในยามที่เด็กติดขัดและกระตุ้นให้สามารถคิดด้วยตัวเอง)  ที่สำคัญการเรียนการสอนแบบใหม่นี้ยังเปิดโอกาสให้นักเรียนนำการบ้านมาทำได้  ซึ่งการทำการบ้านในห้องเรียนมีข้อดีหลายประการ  ได้แก่  1.  ช่วยลดปัญหาการลอกการบ้านเพื่อนในทุกเช้า  หากเด็กบางคนไม่สามารถทำเองได้ 2.  เด็กสามารถปรึกษาเพื่อน  นั่งทำการบ้านกันเป็นกลุ่มๆ ได้ 3.  เด็กสามารถสอบถามการบ้านจากครูผู้สอนเพื่อความกระจ่าง 4.  เด็กมีเวลาส่วนตัวมากขึ้นเมื่อกลับบ้านแล้ว 5.  เด็กเรียนอย่างมีความสุขเพราะไม่มีการบ้านต้องทำที่บ้าน  และการทำการบ้านที่ห้องเรียนก็ไม่ต่างจากการทำกิจกรรมสนุกๆ กับเพื่อน สิ่งที่เกิดนอกห้องเรียน สิ่งที่เกิดนอกห้องเรียน  (นอกเวลาเรียน)  ของห้องเรียนกลับด้าน  คือ  จัดให้นักเรียนศึกษาหาความรู้ผ่านทางอินเทอร์เน็ต …

เทคนิคลดความเครียด ของเด็กวัยเรียน อย่างมีประสิทธิภาพ

เทคนิคลดความเครียด ของเด็กวัยเรียน อย่างมีประสิทธิภาพ

ถ้าคุณกำลังอยู่ในวัยเรียน ก็ย่อมต้องประสบกับปัญหาความเครียดที่มาจากการเรียน ดังนั้นสมองของคุณจึงไม่ค่อยผ่อนคลาย และความตึงเครียดก็จะส่งผลเสียต่อพัฒนาการทางสมองโดยตรง ดังนั้นวิธีที่จะเสริมสร้างการทำงานของสมองให้ดียิ่งขึ้น ก็คือการกำจัดความเครียด ซึ่งในที่นี้ขอแนะนำ เทคนิคลดความเครียด วิธีผ่อนคลายความเครียด แบบที่เป็นธรรมชาติ ทำง่าย และเหมาะกับเด็กนักเรียนนักศึกษาอย่างยิ่ง แนะนำ เทคนิคลดความเครียด ของเด็กวัยเรียน แบบที่เป็นธรรมชาติ เทคนิคลดความเครียดผ่อนคลายสมองจากการเรียนด้วยดนตรีเพราะๆ ไม่ว่าจะเป็นดนตรีแบบมีทั้งเนื้อร้องและทำนอง หรือมีแต่ทำนองอย่างเดียว หากเป็นแบบที่เราชอบแล้ว เชื่อได้เลยว่าเราย่อมยิ้มได้ และความสุขในโลกส่วนตัวก็ย่อมเกิด จึงไม่น่าแปลกที่หลายคนมักจะพกพาดนตรีไปกับเขาทุกที่ เพราะดนตรีจะช่วยคลายทุกข์ ลดความเครียด และทำให้จิตใจเบิกบานได้ ขอแนะนำว่าคุณควรเลือกประเภทดนตรีในแบบที่ชอบ และในช่วงที่เครียดมาก ๆ โดยเฉพาะช่วงอ่านหนังสือสอบ ก็ควรเลือกฟังดนตรีแบบที่เสียงไม่ดังมาก หรือไม่หนวกหูจนเกินไป เพราะเสียงที่ดังมากอาจทำให้ตื่นก็จริง แต่ก็จะกระตุ้นให้เครียดมากขึ้นด้วย เทคนิคลดความเครียดบรรเทาความเครียดจากการเรียนด้วยการกินแก้เครียด เด็กนักเรียนนักศึกษามักมีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัว โดยเฉพาะช่วงใกล้สอบ เพราะมักจะกินมากเป็นพิเศษ พอเครียดปุ๊บก็กินปั๊บ คิดว่าการกินนี่แหละที่จะช่วยให้หายเครียดได้ทันที แต่ใช่ว่าอาหารทุกชนิดจะเหมาะสำหรับคลายเครียด อาหารที่ควรเน้นกินมากที่สุดในช่วงที่ใช้สมองมาก ๆ ก็คือ อาหารที่อุดมด้วยวิตามินบี 12 ซึ่งจะช่วยบำรุงระบบประสาท ป้องกันอาการซึมเศร้า และบรรเทาอาการเครียดได้ด้วย  โดยพบได้มากในอาหารต่าง…

ความรู้นอกตำรา ว่าด้วยเรื่องของ วิวัฒนาการของ ภาษามลายู

ความรู้นอกตำรา ว่าด้วยเรื่องของ วิวัฒนาการของ ภาษามลายู

ภาษามลายูกับอินโดนีเซีย มีความคล้ายคลึงกัน สามารถสื่อสารกันได้รู้เรื่อง ซึ่งมีผู้ใช้ครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่ชายแดนใต้ของไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ทางตอนใต้ของฟิลิปปินส์และหมู่เกาะต่างๆ โดยสาเหตุที่ทำให้ภาษานี้ถูกใช้อย่างแพร่หลาย มาจากการไปมาหาสู่ด้วยการคมนาคมทางเรือตั้งแต่โบราณแล้วนั่นเอง สำหรับวิวัฒนาการทางภาษาในช่วงแรกจะเป็นภาษาพูด แต่ไม่มีภาษาเขียน อีกทั้งยังเป็นภาษาสำหรับการเผยแพร่พุทธศาสนาในโลกของชาวมลายูเมื่อครั้งอดีต ทำให้มีคำบาลีและสันสกฤตปะปนอยู่ในภาษามลายูมาจนถึงปัจจุบัน กระทั่งการเข้ามาเผยแพร่ศาสนาอิสลามจากนักเดินเรือแถบตะวันออกกลางและอินเดีย ซึ่งใช้ภาษาอาหรับ ทำให้นับตั้งแต่นั้น ภาษามลายู มีภาษาเขียนด้วยตัวอักษรอาหรับเป็นเวลาหลายร้อยปี จุดเปลี่ยนของ ภาษามลายู ที่มีความสำคัญมาก วิวัฒนาการของ ภาษามลายู มาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้ง จากการเข้ามาของเจ้าอาณานิคมอังกฤษในดินแดนแถบนี้ ซึ่งพวกเขาต้องมีการติดต่อสื่อสารกับผู้ปกครองและชาวพื้นเมือง กระทั่งเกิดอุปสรรคในเรื่องการสื่อสาร แม้ว่าจะมีการศึกษาเรียนรู้ภาษาท้องถิ่น แต่เจ้าอาณานิคมอังกฤษมองว่าภาษามลายู ที่ถูกวางไว้ในระบบภาษาอาหรับ เป็นระบบภาษาที่มีการเรียนรู้ยากและใช้เวลานานสำหรับการเรียน ไล่ตั้งแต่วิธีการเขียนที่เริ่มต้นจากขวามาซ้าย ตัวพยัญชนะที่มีอยู่จำนวนมากที่จะมีอุปสรรคต่อการผสมคำ  ทำให้ท้ายที่สุดได้เปลี่ยนระบบภาษามลายูใหม่ ด้วยการใช้ตัวอักษรภาษาอังกฤษแบบโรมัน มีพยัญชนะและสระเหมือนภาษาอังกฤษ แต่มีการเพิ่มพยัญชนะที่เป็นคำควบอีก 10 ตัว เช่น sy ny ให้เสียงครบ รวมถึงเพิ่มกฎการเติมคำอุปสรรค mem , me ,men หน้าคำกิริยาให้มีความสมบูรณ์ ที่เหลือก็มีเพียงการท่องจำคำศัพท์ให้ได้มากที่สุด…

จริงหรือไม่ ! ประเทศที่เคยเป็นเมืองขึ้น คนในชาตินั้นจะ เก่งภาษาอังกฤษ

จริงหรือไม่ ! ประเทศที่เคยเป็นเมืองขึ้น คนในชาตินั้นจะ เก่งภาษาอังกฤษ

ประเทศที่ตกเป็นอาณานิคม สวนมาก เก่งภาษาอังกฤษ จริงหรือ

5 ข้อต้องพิจารณา ก่อนเลือก เรียนภาษาที่ 3 เพื่อประโยชน์ กับตัวเองในระยะยาว

5 ข้อต้องพิจารณา ก่อนเลือก เรียนภาษาที่ 3 เพื่อประโยชน์ กับตัวเองในระยะยาว

ภาษาอังกฤษเป็นสากลที่ควรสื่อสารได้ แต่ในปัจจุบันการ เรียนภาษาที่ 3 นับได้ว่าทักษะที่ควรจะเรียนรู้ไว้เพื่อเพิ่มมิติกับตัวเองและเพื่อโอกาสที่มากขึ้นในโลกของการทำงาน ก่อนเลือก เรียนภาษาที่ 3 ต้องพิจารณาอะไรบ้าง? 1.พิจารณาเลือกเรียนภาษาที่ 3 โดยคำนึงถึง โอกาสที่จะได้ใช้ การเรียนภาษาโดยดูจากโอกาสที่จะใช้ ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เช่น จะสามารถหางานได้ง่ายขึ้นหรือไม่ ภาษานี้มีบุคลากรขาดแคลนหรือเปล่า เพราะถ้าหากเรียนแล้วแต่งานรองรับน้อยก็จะทำให้ได้ไม่คุ้มเสียกับการลงแรงเรียนไป 2.พิจารณาเลือกเรียนภาษาที่ 3 ด้วยความยาก-ง่าย ลักษณะของภาษา หากเราพิจารณาจากข้อแรกแล้วข้อนี้ก็นับว่าเป็นเรื่องสำคัญ เพราะการเรียนภาษามีความยากง่ายไม่เท่ากัน เช่น ภาษาจีน หรือญี่ปุ่น อาจต้องใช้เวลาเรียนนานมากกว่า 5 ปี ถึงจะชำนาญ ซึ่งถ้าเทียบกับภาษามลายูหรืออินโดนีเซีย อาจใช้เวลาสั้นกว่าเพียง 2-3 ปี ก็ชำนาญได้ 3.พิจารณาเลือกเรียนภาษาที่ 3 ดูจาก ระยะทาง จากประเทศไทยไปประเทศนั้น แน่นอนว่าเรื่องนี้ก็นับเป็นเรื่องที่ต้องนำมาพิจารณาด้วย เพราะเมื่อใดก็ตามที่เราเลือกเรียนภาษานั้นไปแล้ว ก็เสมือนว่าเราจะต้องใกล้ชิดกับประเทศนั้นด้วย ซึ่งเราก็ไม่มีทางทราบได้ว่าอนาคตจะต้องไปทำงานในประเทศนั้นหรือไม่ โดยหากใครชื่นชอบประเทศนั้นอยู่แล้วก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าใครไม่ชอบเดินทางไกล หรือไม่ชอบห่างบ้านนาน ๆ…

ว่าด้วยเรื่อง ประวัติของแคน สรุปแล้วแคน มีที่มาจากไหน ?

ว่าด้วยเรื่อง ประวัติของแคน สรุปแล้วแคน มีที่มาจากไหน

แคน นับเป็นเครื่องดนตรีชนิดหนึ่ง ที่ถูกกล่าวขานถึงเสียงที่ไพเราะ ยามในที่ได้ยินก็จะทำให้นึกถึงบรรยากาศท้องทุ่งและภูมิทัศน์อันเงียบสงบ ทำให้แคนกลายเป็นเครื่องดนตรีดั่งสัญลักษณ์ของภาคอีสาน และของประเทศลาว แต่มีใครรู้ไม่ว่าแท้จริงแล้ว ประวัติของแคน อาจไม่ได้ถือกำเนิดมาจากสองประเทศดังกล่าว แม้จะมีหลักฐานจากการขุดพบแคนจากหลุมฝั่งศพ เพราะมีหลักฐานชิ้นสำคัญที่เก่าแก่กว่านั้น ทำความรู้จัก ประวัติของแคน เครื่องดนตรี คู่ถิ่นอีสาน ประวัติของแคน ที่น่าสนใจ ตามวัฒนธรรมดองซอน คือ กลุ่มอารยธรรมเก่าแก่ ที่มีศูนย์กลางอยู่ในแถบภาคกลางของเวียดนามและแผ่กว้างไปถึงจีนตอนใต้ ลาว และบริเวณภาคอีสานของไทย สำหรับหลักฐานสำคัญที่พบเป็นขวานหิน โดยที่ด้ามขวานมีรอยสลักเป็นรูปผู้หญิงกำลังเป่าแคนอยู่ ทำให้หลักฐานชิ้นนี้ค่อนข้างสำคัญและตอกย้ำถึงทฤษฎีที่มีมาก่อนหน้านี้ว่าการเป่าแคนเมื่อ 2-3 พันปีก่อน ในยุคที่ยังนับถือศาสนาผี ผู้หญิงคือเพศที่มีความสำคัญ มีอภิสิทธิ์ทางสังคมเหนือกว่าผู้ชายในหลายบริบท ที่แม้แต่การเป่าแคนเพื่อเรียกผีมาทำพิธีกรรม ยังต้องเป็นหน้าที่ของผู้หญิง กรทั่งจุดเปลี่ยนสำคัญ คือเมื่อศาสนาพราหมณ์ฮินดูและพุทธเข้ามา ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงแนวคิดทางสังคม จนแปรเปลี่ยนเป็นการเชิดชูและให้อำนาจทางเพศแก่เพศชาย จวบจนปัจจุบัน ตาม ประวัติของแคน จากเครื่องมือที่ใช้เป่าเพื่อเรียกผี ได้ถูกวิวัฒนาการจนกลายเป็นเครื่องดนตรีในที่สุด ซึ่งมีกรรมวิธีที่ต้องใช้ความละเอียดและประณีตของช่างแคน กระทั่งกลายเป็นดนตรีสัญลักษณ์ประจำถิ่นของภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ในตอนกลางของลาว ส่วนในเวียดนามพื้นที่ต้นทาง ไม่หลงเหลือวัฒนธรรมดนตรีแคนอีกแล้ว สำหรับแคนมีการปรับตัวให้เข้ากับดนตรีสากลด้วยการมีโน้ต ที่สามารถจำแนกออกมาได้ 5…

ไขความรู้นอกตำรา ทำไม ภาษาอังกฤษ ถึงไม่มี คำว่า กู-มึง ?

ไขความรู้นอกตำรา ทำไม ภาษาอังกฤษ ถึงไม่มี คำว่า กู-มึง ?

ใครหลายๆคนอาจจะสังเกตได้ว่า เมื่อใดก็ตามที่เราเขียนหรือสื่อสารภาษาไทยคำว่า กู ข้า ข้าพเจ้า ฉัน หรือเรา เมื่อนำไปเทียบแปลกับภาษาภาษาอังกฤษ จะได้คำว่า I (ฉัน) คำเดียวเท่านั้น หรือกลับกันคำว่า มึง แก เอ็ง เธอ คุณ เมื่อนำไปเทียบแปลกับภาษาอังกฤษก็จะได้แค่คำว่า You (เธอ) เท่านั้นเหมือนกัน ซึ่งเคยสงสัยกันไหมว่าทำไม ภาษาอังกฤษ ถึงไม่มีคำอื่นบ้าง และทำไมถึงมีแค่นี้  ภาษาอังกฤษ และภาษาอื่น ๆ ในทวีปยุโรป มีระดับของคำ ที่ใช้เรียกกลุ่มคนต่าง ๆ ก่อนอื่นต้องกล่าวก่อนว่าในอดีต ภาษาอังกฤษ และภาษาอื่น ๆ ในทวีปยุโรปก็มีระดับของคำที่ใช้เรียกกลุ่มคนต่าง ๆ เหมือนเฉกเช่นภาษาของพวกเรา แต่สังคมยุโรปในยุคเปลี่ยนผ่านจากสังคมชนชั้นศักดินาเป็นยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ ซึ่งเป็นการเข้าสู่ยุคระบบสังคมแบบใหม่ที่ให้คุณค่าความเป็นปัจเจกชนว่าทุกคนเท่าเทียมกัน นั้นจึงทำให้หลายสิ่งหลายอย่างในสังคมเปลี่ยนแปลงตามไป ไล่ตั้งแต่ระบบครอบครัวที่เกิดค่านิยมการย้ายออกไปมีบ้านเป็นของตัวเอง ทุกคนสามารถมีของใช้เป็นของตัวเองได้ด้วยการซื้อ รวมถึงที่กำลังกล่าวถึงในหัวเรื่องนี้ นั่นคือระดับภาษาที่ถูกปรับเปลี่ยนจนเป็นอย่างที่เราเห็น ส่วนในระบบสังคมเอเชีย เราไม่เคยเผชิญกับยุคการเปลี่ยนผ่านสังคมขนานใหญ่แบบยุโรป นั่นจึงทำให้พวกเราไม่ได้ซัมซับตามระบบบรรทัดฐานแบบยุโรป…