นับเป็นปรากฎการณ์ที่ค่อนข้างแปลกใหม่สำหรับวงการการศึกษา ที่เด็กรุ่นใหม่หลายๆ คนไม่สนใจที่จะ ไม่อยากเรียนต่อมหาวิทยาลัย อีกต่อไป ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพวกเขามองเห็นโลกได้กว้างกว่ายุคก่อน ข้อมูลข่าวสารจากอีกฟากหนึ่งของโลกสามารถเรียนรู้ได้ภายในเวลาเพียงชั่วอึดใจเดียว เด็กๆ จึงได้เห็นไลฟ์สไตล์การดำเนินชีวิตที่ค่อนข้างหลากหลาย แน่นอนว่ามันทำให้ทางเลือกของพวกเขาหลากหลายด้วยเช่นกัน เมื่อบวกกับความเอือมระอาในระบบการศึกษาที่ยังถือว่าล้าหลังพอสมควร ก็เลยทำให้อยากพาตัวเองออกนอกระบบไป แนวทาง ทางเลือกใหม่ สำหรับเด็กที่ ไม่อยากเรียนต่อมหาวิทยาลัย ทีนี้สิ่งที่ผู้ปกครองหลายคนเป็นกังวลก็คือ เมื่อลูกไม่อยากเรียนต่อมหาวิทยาลัยแล้วเขาจะทางเลือกแบบไหนบ้าง คำตอบตรงนี้ค่อนข้างกว้างทีเดียว เพราะแม้แต่อาชีพก็ยังมีโอกาสที่จะเกิดอาชีพใหม่แบบที่ไม่เคยมีมาก่อนได้ ขอเพียงแค่เด็กๆ รู้ตัวว่าชื่นชอบอะไรมากเป็นพิเศษ แล้วพ่อแม่ก็สนับสนุนสิ่งนั้นให้พัฒนาต่อยอดไปได้ เช่น ทักษะการทำอาหาร การเล่นกีฬา เล่นเกม ปลูกต้นไม้ วาดรูป เป็นต้น ทุกอย่างสามารถกลายเป็นอนาคตที่สดใสได้ทั้งนั้น ซึ่งเรื่องนี้จะง่ายมากหากเด็กๆ รู้ถึงความต้องการของตัวเองอยู่แล้ว แต่ถ้ารู้เพียงแค่ไม่อยากเรียนต่อมหาวิทยาลัย โดยไม่สามารถตอบได้ว่าทางเลือกไหนที่อยากลองทำมากกว่า แบบนี้มีปัญหาตามมาในภายหลังแน่นอน ผู้ปกครองอาจจะต้องช่วยให้เขาค้นหาตัวเองให้เจอก่อน ด้วยการทำกิจกรรมที่แตกต่างกันไปเรื่อยๆ และคอยดูว่ากิจกรรมไหนที่สามารถดึงความสนใจของเขาได้มากเป็นพิเศษ และกิจกรรมใดที่เด็กสามารถใช้เวลาอยู่กับมันได้ยาวนาน จากนั้นค่อยไปมองหาทางเลือกที่เหมาะสม บางคนอาจไม่อยากเรียนต่อมหาวิทยาลัย แต่จำเป็นต้องเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัย เพราะวิชาชีพที่เขาชอบนั้นต้องการใบประกาศเพื่อการันตีความสามารถ เช่น แพทย์ วิศวกร เป็นต้น แต่สำหรับบางคนอาจเลือกเรียนเป็นคอร์สตามความสนใจ แล้วลงมือทำไปเรื่อยๆ…
การได้เดินทางไปเรียนยังต่างประเทศเป็นอีกหนึ่งความฝันของเด็กหลายๆ คน ก่อนหน้านี้ประเทศทางฝั่งตะวันตกจะได้รับความนิยมมากกว่า แต่มาถึงตอนนี้ไม่มีอะไรดีเทียบเท่ากับการได้เป็น นักเรียนทุนประเทศจีน อีกแล้ว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเวลานี้ประเทศจีนได้ขึ้นแท่นประเทศชั้นนำอันดับต้นๆ ที่ต้องจับตาดู พร้อมเผยแพร่ความน่าสนใจในเชิงของวัฒนธรรมและความก้าวหน้ามาสู่บ้านเรามากขึ้น แถมยังมีการมอบทุนให้นักเรียนไทยมากขึ้นด้วย ทั้งในรูปแบบของทุนที่มีพันธะผูกพันและทุนให้เปล่า เตรียมความพร้อม เพื่อคว้าโอกาสเป็น นักเรียนทุนประเทศจีน แต่การจะคว้าทุนที่ว่านี้ได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างแรกเลยคือคนที่ต้องการเป็นนักเรียนทุนประเทศจีนมีจำนวนค่อนข้างมาก อัตราการแข่งขันจึงสูง อย่างที่สองคือถ้าเราเตรียมความพร้อมได้ไม่ดีก็จะหมดสิทธิ์ตั้งแต่เรื่องคุณสมบัติ ดังนั้นจึงต้องเริ่มจัดตารางในการพัฒนาตัวเองเพื่อคว้าทุนล่วงหน้าอย่างน้อย 1 ปี หรือถ้าเป็นคนที่มีความมุ่นมั่นหน่อย อาจใช้เวลาเพียงแค่ 6 เดือนเท่านั้น ไม่ว่าทุนที่สนใจจะบอกเงื่อนไขเรื่องภาษาไว้ว่าอย่างไร การที่เราใช้ภาษาจีนเบื้องต้นได้อย่างคล่องแคล่วย่อมได้เปรียบกว่าคนอื่นๆ เสมอ ถ้าอยากเป็นนักเรียนทุนประเทศจีนที่มีภาษีดีหน่อย และมีสิทธิ์ในการเลือกรับทุนได้หลากหลายประเภท ก็จะต้องเริ่มเรียนภาษาจีนกันได้แล้ว และแน่นอนว่าต้องเรียนภาษาอังกฤษร่วมด้วย 2 ภาษานี้จะจำเป็นอย่างมากกับการใช้ชีวิตบนแผ่นดินใหญ่ ที่สำคัญต้องไม่ลืมไปสอบวัดระดับภาษาเพื่อเอาใบประกาศมาการันตีความสามารถของเราด้วย นอกจากภาษาแล้วก็มีเรื่องของการสร้างความน่าสนใจ คนที่จะผ่านการคัดเลือกให้เป็นนักเรียนทุนประเทศจีนได้โดยง่าย จะต้องมีผลการเรียนในระดับที่ดีพร้อมกับมีกิจกรรมที่หลากหลาย ควรเริ่มทำพอร์ตเกี่ยวกับกิจกรรมที่สนใจเอาไว้ หากเป็นการประกวดที่ได้รางวัลนอกสถานศึกษาก็ยิ่งดี เพราะมันแสดงถึงความกล้าและความตั้งใจของเราได้ สุดท้ายก็ให้ลองหาเพื่อนที่เป็นนักเรียนชาวจีนเอาไว้บ้าง เผื่อว่าจะได้คำแนะนำดีๆ ที่เอามาปรับใช้ได้ ทุกเรื่องราว การศีกษา เคล็ดลับการเรียน เคล็ดลับการอ่านหนังสือ หรือ ข่าวราชการ สามารถติดตามได้ที่ kor-kai.com และที่สำคัญต้องขอบคุณ ufabet88888 ที่สนับสนุนบทความ…
หากเป็นยุคก่อนหน้านี้ ใครที่รู้ อาชีพที่ใช่ตั้งแต่วัยเรียน รู้ว่าตัวเองอยากเป็นอะไร มุ่งมั่นตั้งใจว่าจะเรียนต่อที่ไหน เมื่อจบไปแล้วมีอาชีพใดที่เป็นอาชีพในฝัน แบบนั้นถือว่าโชคดีมาก เพราะการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของคนยุคก่อนนั้นทำได้ยาก โลกที่รู้จักจึงค่อนข้างแคบ ซึ่งต่างกันมากกับเด็กในยุคนี้ แต่สังเกตไหมว่าทั้งที่มีช่องทางให้เปิดโลกมากมาย ทำไมวัยรุ่นยุคใหม่ก็ยังไม่รู้ความชอบของตัวเองในด้านอาชีพอยู่ดี ทำให้ได้เจอ แนวทางง่ายๆ ในการค้นหา อาชีพที่ใช่ตั้งแต่วัยเรียน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคำว่าอาชีพสำหรับเด็กวัยเรียนสมัยใหม่ มันกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อและไม่ได้สร้างแรงบันดาลใจเหมือนก่อน อีกทั้งการมีข้อมูลข่าวสารให้เสพในปริมาณมากต่อวัน ทำให้เด็กๆ ไม่ได้หยุดคิดเกี่ยวกับอาชีพที่ใช่ตั้งแต่วัยเรียนความชอบของตัวเองเลย หรือพอมีการจุดประกายความชื่นชอบขึ้นมา มันก็มักจะอยู่ได้ไม่นาน เพราะในแต่ละวันมีสิ่งรบกวนมากเกินไปนั่นเอง แล้วจะทำอย่างไรให้รู้ได้ว่าตัวเองควรเติบโตไปในสายงานไหน อาชีพที่ใช่ตั้งแต่วัยเรียนเรื่องนี้ไม่ยากเกินความสามารถ ขอแค่มีความตั้งใจที่จะค้นหาความปรารถนาของตัวเองสักหน่อย ไม่ต้องรอจนเรียนจบและเข้าสู่วัยทำงาน เพราะวัยเรียนเป็นช่วงเวลาที่ดีกว่าในการออกแบบอาชีพ ให้เริ่มจากสังเกตความชอบเล็กๆ น้อยๆ ของตัวเอง อะไรบ้างที่เราสามารถอยู่กับมันได้ตลอดเวลา โดยไม่รู้สึกเบื่อหรือเหน็ดเหนื่อย อาจจะเป็นเรื่องที่ดูเหมือนไม่ได้สร้างประโยชน์เท่าไร หรือเป็นสิ่งเล็กน้อยมากๆ ก็ได้ เช่น ชอบทอดไข่เจียว ชอบอ่านหนังสือ ชอบดูภาพยนตร์ ชอบอยู่กับต้นไม้ เป็นต้น จากนั้นให้ดูว่าตลอดเวลาที่อยู่ในช่วงวัยเรียนนี้ เราชื่นชอบวิชาไหนในห้องเรียนมากที่สุด ไม่ต้องชอบเรียนทุกครั้งก็ได้ และไม่เกี่ยวว่าวิชานั้นเราจะต้องได้คะแนนดี แต่ให้มีสักครั้งที่เรารู้สึกตื่นเต้นกับมัน อยากติดตามต่อไปว่าจะเกิดอะไรขึ้น ให้ลิสต์วิชาเหล่านั้นเอาไว้…
การจะเรียนเก่งประการหนึ่งต้องเข้าใจเนื้อหาในหนังสือหรือตำราที่เรียนด้วย แต่นักเรียน นักศึกษาหลายคนมีปัญหาการอ่านด้านจับใจความ อ่านจบแล้วไม่เข้าใจแจ่มแจ้งหรือไม่รู้ว่าประเด็นสำคัญคืออะไร ดังนั้นมาฝึกฝน การอ่านจับใจความ ที่จริงๆ แล้วง่ายนิดเดียวกันดีกว่า… การอ่านจับใจความ ใช้เทคนิคอย่างนี้ เรียนดีแน่ โปรแกรมคร่าวๆ ก่อน เราย่อมรู้ว่าสิ่งที่จะอ่านคือวิชาอะไร จะได้พบเจออะไรในหนังสือบ้าง ให้โปรแกรมสิ่งนั้นสู่สมองคร่าวๆ เพื่อตีวงความเข้าใจและทำให้สมาธิพุ่งตรงไปที่การอ่านด้วย อ่านไล่เล่นๆ การอ่านจับใจความไม่ใช่การอ่านหนังสือหน้าชั้นเรียน ดังนั้นไม่ต้องอ่านออกเสียงหรือค่อยๆ สะกดไปทีละตัว ให้อ่านไล่เร็วๆ ไปเนื่องจากสมองของเราจะมองภาพรวมแบบอัตโนมัติ (จะสังเกตว่าการอ่านเร็วๆ แม้มีคำผิดเราก็ยังอ่านคำนั้นได้ถูกอยู่ดี) สังเกตย่อหน้า วิธีการเขียนหนังสือของแต่ละคนแตกต่างกัน แต่พบว่าผู้เขียนมักวางใจความสำคัญหรือประเด็นสำคัญไว้ที่แต่ละย่อหน้าแล้วตามด้วยการบรรยายรายละเอียดต่างๆ ทำให้อ่านเข้าใจง่าย รู้ได้ทันทีว่าอะไรคือส่วนสำคัญ ดังนั้นให้สังเกตที่ย่อหน้าก่อนเสมอว่ามีใจความสำคัญซุกซ่อนอยู่หรือไม่? ใจร้อนบ้างก็ได้ ผู้อ่านอาจขี้โกงเล็กน้อยด้วยการข้ามไปอ่านท้ายบทหรือท้ายหนังสือ ที่ส่วนใหญ่แล้วมักเป็นบทสรุปหรือประเด็นสำคัญที่เราค้นหาอยู่ สร้างภาพ… การอ่านจับใจความที่ดีควรจินตนาการเนื้อหาที่กำลังอ่านให้เป็นภาพเหมือนดูภาพยนตร์ นอกจากความเพลิดเพลินแล้วยังช่วยจดจำเนื้อหาไปตามลำดับซึ่งช่วยไม่ให้สับสนด้วย แต่ต้องจินตนาการแบบหนังสั้นที่มีประเด็นสำคัญ ไม่ลงรายละเอียดให้เสียเวลา หมายเอาไว้ ในที่นี้คือการขีดเส้นใต้หรือไฮไลต์ข้อความสำคัญที่พบเจอ หากอ่านซ้ำอีกจะได้เห็น จำไม่ได้ก็จะได้หาเจอด้วย ยกตัวอย่างเช่น ในการเลือกตั้งครั้งนี้สมชัยได้เป็นประธานนักเรียนเนื่องจากเขามีความเป็นผู้นำสูงเมื่อเทียบกับผู้ลงสมัครคนอื่นๆ (จะเห็นว่าส่วนที่ขีดเส้นใต้สำคัญที่สุด นอกนั้นเป็นคำพรรณนา) และเมื่ออ่านไปเจอคำว่าสมชัยก็อาจเป็นได้ว่าเนื้อหาในส่วนนั้นกล่าวถึงผลการเลือกตั้งประธานนักเรียนนั่นเอง โน้ตย่อก็ดี การจำไม่สู้การจด …
ความจำดีมีชัยไปกว่าครึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการเรียน หรือทำกิจกรรมต่างๆ ในการใช้ชีวิตประจำวัน ของเรา ดังนั้นวันนี้เราจะมาชวนผู้เรียนฝึกความจำด้วย วิธีจำง่าย ซึ่งได้ผลดีเหล่านี้ แนะนำ วิธีจำง่าย เทคนิคช่วยจำ ที่ใครๆ ก็ทำได้ สร้างสรรค์เองก็ได้ไม่ยาก อาจไม่มีวิธีที่ดีที่สุดในการจดจำ รวมถึงวิธีจำง่ายของใครก็อาจเป็นวิธีจำยากของอีกคนได้ ดังนั้นควรสร้างสรรค์การจดจำด้วยตัวเองไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ที่ทำให้รู้สึกว่าจำได้ไม่ฝืน ขอยกตัวอย่างเทคนิคช่วยจำที่เรียกว่า Use Mnemonic device ซึ่งผู้เรียนสามารถนำไปปรับใช้หรือต่อยอดเองได้ ได้แก่ – การจำคำศัพท์ต่างๆ ทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศจากกลอนหรือเพลงสั้นๆ ยกตัวอย่างเช่น บันดาลลงบันได บันทึกให้จำจงดี รื่นเริงบันเทิงมี เสียงบันลือสนั่นดัง… (จำคำศัพท์ภาษาไทยที่เขียนถูกต้องเป็นกลอน) – การจำหลักภาษาด้วยการแปลงมาเป็นข้อความสั้นๆ เช่น งูใหญ่นอนอยู่ ณ ริมวัดโมฬีโลก (การจดจำอักษรต่ำเดี่ยว 10 ตัวในภาษาไทย คือ ง ญ น ย ณ ร ว ม …
ใครที่เรียนไม่ค่อยจะเก่งอาจติดปัญหาตรงที่จำไม่ได้ ซึ่งไม่ได้เป็นเพราะความจำไม่ดีหรือสมองไม่ดี แต่เป็นที่ “จำไม่เป็น” ต่างหาก จึงจำเป็นต้องจำให้เป็นด้วย เทคนิคช่วยความจำดี เหล่านี้ เทคนิคช่วยความจำดี จำอย่างนี้สิไม่มีทางลืมแน่! โฟกัสหน่อยเทคนิคช่วยความจำดีให้ลองสังเกตตัวเองหรือคนรอบข้างดูก็ได้ว่าเวลาที่ต้องทำหลายสิ่งพร้อมๆ กัน แทบจะทุกสิ่งออกมาไม่ดีหรือเกิดความผิดพลาดเสมอ ที่สำคัญคือจำไม่ได้ว่าอะไรเป็นอะไรหรือทำอะไรลงไปบ้าง นั่นเพราะเราไม่ได้โฟกัสกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างจริงจัง สมองจึงไม่มีเวลามากพอในการลงรหัสข้อมูล แม้เป็นสิ่งสำคัญก็อาจจำไม่ได้ ย้อนคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก แนะนำให้ทำทีละสิ่งด้วยความตั้งใจ เช่น หากอยากอ่านหนังสือให้จำได้ดีก็ต้องอ่านอย่างเดียว ไม่เปิดเพลงคลอ ไม่ดูโทรทัศน์ ไม่หาอะไรมากิน เลือกที่ใช่เทคนิคช่วยความจำดีไม่มีอะไรตายตัว บางคนบอกจำแบบนี้ดีแต่พออีกคนนำไปใช้กลับไม่เวิร์ก ให้ผู้เรียนหาเทคนิคที่เหมาะสมกับตัวเองที่สุด ยกตัวอย่างเช่น – บางคนจำอะไรยาวๆ ไม่ได้ ต้องใช้การสรุปจด – บางคนจำจากเสียงครูพูดได้ดีที่สุด จึงตั้งใจเรียนขณะครูสอนหรือใช้การอัดเสียงครูแล้วเปิดฟังทบทวน จึงไม่จำเป็นต้องอ่านหนังสือทบทวนหลายรอบ – บางคนจำจากการอ่านหนังสือ มีภาพที่เกิดในหัวสมองซึ่งช่วยให้จำง่ายขึ้น เก่ากับใหม่อยู่ร่วมกันได้ จากการวิจัยเกี่ยวกับความจำมีการระบุว่า การนำข้อมูลใหม่ๆ มาเชื่อมโยงกับความรู้เดิมๆ ประสบการณ์เดิมๆ (ซึ่งก็คือความทรงจำเก่าที่มักเลือนรางไปตามกาลเวลา) จะช่วยให้ความจดจำเดิมๆ อยู่ยาวนานขึ้น ไม่เข้าตำราเก่าไปใหม่มาอย่างที่ผู้เรียนหลายคนเป็น เป็นเทคนิคช่วยความจำดี ที่เรียกว่า …
นักเรียน นักศึกษาหลายคนรู้วิธีอ่านจับใจความว่าต้องทำอย่างไร แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า การอ่านจับใจความ แท้จริงคืออะไรและมีประโยชน์อย่างไรบ้าง ดังนั้นตามมาทำความเข้าใจกันเถอะ… การอ่านจับใจความ คืออะไร? ก่อนอื่นต้องมองความจริงก่อนว่าในหนังสือหรือตำราวิชาการอะไรก็แล้วแต่ ไม่ใช่ทุกบรรทัดทุกตัวอักษรจะสำคัญเท่าเทียมกัน เพราะผู้เขียนมีสิ่งสำคัญที่อยากจะบอกและมีรายละเอียดปลีกย่อยที่อยากจะอธิบายนั่นเอง ดังนั้นการอ่านข้อความหรือหนังสือสักเล่ม ผู้อ่านต้องกลั่นกรองให้ได้ว่าสิ่งใดสำคัญโดยใช้วิธีการอ่านจับใจความที่มุ่งหาสาระหรือใจความสำคัญของเนื้อเรื่อง ซึ่งทำให้ทราบว่าที่เหลือเป็นใจความรองและรายละเอียดต่างๆ ขออธิบายเสริม ดังนี้ 1. ใจความสำคัญ คือ แก่นของแต่ละย่อหน้า ซึ่งแต่ละย่อหน้ามักมีใจความสำคัญประมาณ 1 – 2 ใจความ โดยใจความสำคัญจะมีลักษณะ ดังนี้ – สั้นกระชับ – สามารถเป็นประโยคเดี่ยวๆ ได้เลย – สามารถเป็นหัวข้อในแต่ละย่อหน้าได้ – ไม่จำเป็นต้องมีประโยคอื่นเสริมหรือประกอบก็เข้าใจได้ 2. ใจความรอง (พลความ) คือ ส่วนที่ช่วยขยายหรือสนับสนุนให้ใจความสำคัญมีความชัดเจนและเข้าใจง่ายยิ่งขึ้น ได้แก่ การเปรียบเทียบเปรียบเปรย การอธิบายเหตุผล การให้คำจำกัดความ และการยกตัวอย่างประกอบ (ซึ่งเราอาจไม่จำเป็นต้องใส่ใจหากมีเวลาอ่านน้อยหรือต้องการทราบเนื้อหาสำคัญเพียงคร่าวๆ) 3. รายละเอียด คือ …
หากนึกถึงวรรณกรรมเยาวชนสักเรื่อง The Secret Garden หรือในชื่อไทยมากมาย ได้แก่ สวนลับ สวนปริศนา และในสวนศรี ต้องเป็นหนังสือเบอร์ต้นๆ ที่นักอ่านจะนึกถึง เพราะนอกจากความสนุกสนานที่ได้รับแล้ว ยังมีความลึกซึ้งและแตกต่างจากวรรณกรรมเยาวชนทั่วไปด้วย ประวัติคร่าวๆ ของวรรณกรรมเยาวชน The Secret Garden เล่มนี้ ผู้เขียนThe Secret Gardenคือฟรานเซส ฮอดจ์สัน เบอร์เนทท์ ที่เขียนลงในนิตยสารเป็นตอนๆ เมื่อปี ค.ศ. 1910 (พ.ศ. 2453) ต่อมาได้พิมพ์รวมเล่ม จากนั้นก็มีการนำไปทำเป็นภาพยนตร์ทั้งในโรงใหญ่และจอโทรทัศน์จนนักอ่านนักดูต่างรู้จักและหลงรักกัน ซึ่งหนังสือเล่มนี้ถูกยกย่องว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สุดของเธอด้วย โครงเรื่องคร่าวๆ ของวรรณกรรมเยาวชนเรื่องนี้ กล่าวถึงหนูน้อยแมรี่ที่มีเหตุให้ต้องกำพร้าพ่อแม่ ได้ไปพักอาศัยกับลุงซึ่งไม่สนิทกันที่คฤหาสน์หลังใหญ่มีสวนรกร้าง ทำให้แมรี่ได้พบความมหัศจรรย์ของสวนแห่งนี้ ได้นำพาความมหัศจรรย์มาสู่ครอบครัวที่เย็นชาแต่ทว่าแฝงความเศร้าโศกของลุง ซึ่งเธอทำให้คอลินลูกชายของลุงที่พิการกลับมาเดินได้อีกครั้ง ความน่าสนใจและข้อคิดดีๆ จากวรรณกรรมเยาวชนเล่มนี้ – เปรียบเทียบได้กับสวนรกร้างในคฤหาสน์ที่กลับมางดงามอีกครั้งจากปาฏิหาริย์ พบว่าจริงๆ แล้ว ก็คือความไม่สิ้นหวังของมนุษย์นั่นเองThe Secret Gardenเป็นวรรณกรรมเยาวชนที่เหมาะกับคนที่กำลังสับสนหรือท้อแท้ในชีวิต – เมื่อเกิดวิกฤติต้องรู้จักปรับตัว เหมือนแมรี่ที่ต้องย้ายมาอยู่ในสถานที่ใหม่ลำพัง เธอค่อยๆ เรียนรู้ ปรับปรุงนิสัยแย่ๆ เพราะถูกตามใจจนเสียคนมาก่อน …