เชื่อไหมว่าการเป็นเด็กเรียนดีนั้นทำได้ไม่ยาก แต่ถ้าอยากเก่งรอบด้านทั้ง เรียนดี กิจกรรมเด่น งานนี้ต้องรู้จักวิธีแบ่งเวลาและต้องมีวินัยในการทำตามแผนที่วางไว้ โดยต้องเริ่มจากพิจารณาก่อนว่า ตัวเราอยากจะเทน้ำหนักไปทางไหนมากกว่ากัน ระหว่างงานทางด้านวิชาการ อยากเป็นเด็กเรียนเก่ง ผลการเรียนยอดเยี่ยมทุกเทอม หรือด้านกิจกรรม อย่างพวกการเล่นกีฬา การทำชมรม การออกค่าย เป็นต้น ต้องการเป็นเด็ก เรียนดี กิจกรรมเด่น ต้องทำอย่างไร ถ้าเราต้องการให้ตัวเองเรียนดี กิจกรรมเด่นเมื่อเลือกแล้วให้เอาส่วนที่เป็นแกนหลักมาวางตารางก่อน สมมติเราเลือกให้การเรียนดีเป็นมุมเด่น แล้วให้การทำกิจกรรมเป็นมุมรอง หากต้องการเรียนดี กิจกรรมเด่นก็มาดูว่าตอนนี้มีรายวิชาไหนที่เป็นจุดแข็งและจุดอ่อน แยกวิชาออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกที่เรียนได้ดีอยู่แล้ว ให้รักษาระดับด้วยการตั้งใจเรียนในห้อง จดโน้ตระหว่างเรียนหรือหลังจากทำการบ้าน พยายามจดโน๊ตให้สั้นกระชับ ไม่ต้องอธิบายละเอียดมากนัก ยิ่งถ้าวิชาไหนที่เรามีความชื่นชอบก็ยิ่งเรียนรู้ได้ง่าย และอาจไม่จำเป็นต้องจดโน๊ตอะไรเพิ่มเติมอีก แค่อ่านทบทวนเพียงเล็กน้อยในช่วงหัวค่ำก็พอ ส่วนกลุ่มวิชาที่ยังทำได้ไม่ดีนัก ก็จะต้องหาแนวทางในการเสริมองค์ความรู้ของรายวิชานั้นขึ้นมา เพราะเด็กเรียนดีจะต้องมีผลการเรียนของทุกรายวิชาไล่เลี่ยกัน อาจจะเป็นการเพิ่มชั่วโมงทบทวนเนื้อหา ให้เพื่อนที่เข้าใจวิชานั้นได้ดีช่วยอธิบาย ตรงไหนยังไม่เข้าใจก็ให้เดินเข้าไปหาอาจารย์ที่ปรึกษาโดยตรง ระหว่างเรียนรู้ก็ควรสังเกตตัวเองไปด้วยว่า การที่เราทำบางวิชาได้ไม่ดีมันมีปัญหาที่ตรงไหน จะได้แก้ไขให้ได้ผลลัพธ์แบบระยะยาวได้ด้วย เรียนดี กิจกรรมเด่นปกติแล้วเด็กเรียนดีจะต้องมีชั่วโมงเรียนรู้ด้วยตัวเองประมาณ 2-3 ชั่วโมงต่อวัน เพิ่มเติมจากการเรียนในห้องเรียน…
ความจำดีมีชัยไปกว่าครึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการเรียน หรือทำกิจกรรมต่างๆ ในการใช้ชีวิตประจำวัน ของเรา ดังนั้นวันนี้เราจะมาชวนผู้เรียนฝึกความจำด้วย วิธีจำง่าย ซึ่งได้ผลดีเหล่านี้ แนะนำ วิธีจำง่าย เทคนิคช่วยจำ ที่ใครๆ ก็ทำได้ สร้างสรรค์เองก็ได้ไม่ยาก อาจไม่มีวิธีที่ดีที่สุดในการจดจำ รวมถึงวิธีจำง่ายของใครก็อาจเป็นวิธีจำยากของอีกคนได้ ดังนั้นควรสร้างสรรค์การจดจำด้วยตัวเองไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ที่ทำให้รู้สึกว่าจำได้ไม่ฝืน ขอยกตัวอย่างเทคนิคช่วยจำที่เรียกว่า Use Mnemonic device ซึ่งผู้เรียนสามารถนำไปปรับใช้หรือต่อยอดเองได้ ได้แก่ – การจำคำศัพท์ต่างๆ ทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศจากกลอนหรือเพลงสั้นๆ ยกตัวอย่างเช่น บันดาลลงบันได บันทึกให้จำจงดี รื่นเริงบันเทิงมี เสียงบันลือสนั่นดัง… (จำคำศัพท์ภาษาไทยที่เขียนถูกต้องเป็นกลอน) – การจำหลักภาษาด้วยการแปลงมาเป็นข้อความสั้นๆ เช่น งูใหญ่นอนอยู่ ณ ริมวัดโมฬีโลก (การจดจำอักษรต่ำเดี่ยว 10 ตัวในภาษาไทย คือ ง ญ น ย ณ ร ว ม …
ใครที่เรียนไม่ค่อยจะเก่งอาจติดปัญหาตรงที่จำไม่ได้ ซึ่งไม่ได้เป็นเพราะความจำไม่ดีหรือสมองไม่ดี แต่เป็นที่ “จำไม่เป็น” ต่างหาก จึงจำเป็นต้องจำให้เป็นด้วย เทคนิคช่วยความจำดี เหล่านี้ เทคนิคช่วยความจำดี จำอย่างนี้สิไม่มีทางลืมแน่! โฟกัสหน่อยเทคนิคช่วยความจำดีให้ลองสังเกตตัวเองหรือคนรอบข้างดูก็ได้ว่าเวลาที่ต้องทำหลายสิ่งพร้อมๆ กัน แทบจะทุกสิ่งออกมาไม่ดีหรือเกิดความผิดพลาดเสมอ ที่สำคัญคือจำไม่ได้ว่าอะไรเป็นอะไรหรือทำอะไรลงไปบ้าง นั่นเพราะเราไม่ได้โฟกัสกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างจริงจัง สมองจึงไม่มีเวลามากพอในการลงรหัสข้อมูล แม้เป็นสิ่งสำคัญก็อาจจำไม่ได้ ย้อนคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก แนะนำให้ทำทีละสิ่งด้วยความตั้งใจ เช่น หากอยากอ่านหนังสือให้จำได้ดีก็ต้องอ่านอย่างเดียว ไม่เปิดเพลงคลอ ไม่ดูโทรทัศน์ ไม่หาอะไรมากิน เลือกที่ใช่เทคนิคช่วยความจำดีไม่มีอะไรตายตัว บางคนบอกจำแบบนี้ดีแต่พออีกคนนำไปใช้กลับไม่เวิร์ก ให้ผู้เรียนหาเทคนิคที่เหมาะสมกับตัวเองที่สุด ยกตัวอย่างเช่น – บางคนจำอะไรยาวๆ ไม่ได้ ต้องใช้การสรุปจด – บางคนจำจากเสียงครูพูดได้ดีที่สุด จึงตั้งใจเรียนขณะครูสอนหรือใช้การอัดเสียงครูแล้วเปิดฟังทบทวน จึงไม่จำเป็นต้องอ่านหนังสือทบทวนหลายรอบ – บางคนจำจากการอ่านหนังสือ มีภาพที่เกิดในหัวสมองซึ่งช่วยให้จำง่ายขึ้น เก่ากับใหม่อยู่ร่วมกันได้ จากการวิจัยเกี่ยวกับความจำมีการระบุว่า การนำข้อมูลใหม่ๆ มาเชื่อมโยงกับความรู้เดิมๆ ประสบการณ์เดิมๆ (ซึ่งก็คือความทรงจำเก่าที่มักเลือนรางไปตามกาลเวลา) จะช่วยให้ความจดจำเดิมๆ อยู่ยาวนานขึ้น ไม่เข้าตำราเก่าไปใหม่มาอย่างที่ผู้เรียนหลายคนเป็น เป็นเทคนิคช่วยความจำดี ที่เรียกว่า …
น้อง ๆ นักเรียนนักศึกษาที่ต้องเรียนหนังสือวันละหลาย ๆ ชั่วโมง จนทำให้รู้สึกเหนื่อยล้า หรือมีอาการสมองล้า ซึ่งเป็นสาเหตุให้ การเรียนในห้อง การอ่านหนังสือ และการเรียนรู้ทั่วไปด้อยประสิทธิภาพลง ดังนั้นหากน้อง ๆ รู้สึกว่าตนเองมีภาวะเหล่านี้ ก็อาจเป็นไปได้ว่านี่คือสัญญาณเตือนจากสมองว่ากำลังประสบปัญหา ภาวะสมองล้า และต้องการบำรุงโดยด่วนแล้ว สัญญาณเตือนความเสี่ยง ภาวะสมองล้า -จะมีปัญหาเรื่องภาษา มักจะใช้คำพูดไม่ถูก เช่น กว่าจะเรียกสิ่งของนั้นได้ ก็ต้องมีการใบ้คำกันวุ่นวาย –ภาวะสมองล้าอีกอย่างก็คือ จะไม่ค่อยรู้เรื่องของเวลา เช่น ไม่รู้ว่าตอนนี้เช้า หรือค่ำแล้ว -ความจำบางเรื่องขาดหายไป หรือสูญเสียความจำ ซึ่งมีผลต่อการเรียนและการใช้ชีวิต -บุคลิกภาพจะเปลี่ยนแปลงไป บ้าง เช่นจากคนที่สดใสก็จะกลายเป็นคนเงียบขรึมหรือเครียดง่าย -ความคิดตัน ขาดความสร้างสรรค์ แม้ว่าเมื่อก่อนจะเป็นคนที่ครีเอตมากก็ตาม -การตัดสินใจไม่ดี มักตัดสินใจผิดพลาดบ่อย ๆ -เด็กที่มีเกิดภาวะสมองล้าประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลง จะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องนามธรรม ซึ่งจะเป็นปัญหาในการเล่าเรียนโดยเฉพาะวิชาที่เกี่ยวกับการคิดวิเคราะห์ -อารมณ์จะขึ้น ๆ ลง ๆ เสมอ…
ถ้าคุณกำลังอยู่ในวัยเรียน ก็ย่อมต้องประสบกับปัญหาความเครียดที่มาจากการเรียน ดังนั้นสมองของคุณจึงไม่ค่อยผ่อนคลาย และความตึงเครียดก็จะส่งผลเสียต่อพัฒนาการทางสมองโดยตรง ดังนั้นวิธีที่จะเสริมสร้างการทำงานของสมองให้ดียิ่งขึ้น ก็คือการกำจัดความเครียด ซึ่งในที่นี้ขอแนะนำ เทคนิคลดความเครียด วิธีผ่อนคลายความเครียด แบบที่เป็นธรรมชาติ ทำง่าย และเหมาะกับเด็กนักเรียนนักศึกษาอย่างยิ่ง แนะนำ เทคนิคลดความเครียด ของเด็กวัยเรียน แบบที่เป็นธรรมชาติ เทคนิคลดความเครียดผ่อนคลายสมองจากการเรียนด้วยดนตรีเพราะๆ ไม่ว่าจะเป็นดนตรีแบบมีทั้งเนื้อร้องและทำนอง หรือมีแต่ทำนองอย่างเดียว หากเป็นแบบที่เราชอบแล้ว เชื่อได้เลยว่าเราย่อมยิ้มได้ และความสุขในโลกส่วนตัวก็ย่อมเกิด จึงไม่น่าแปลกที่หลายคนมักจะพกพาดนตรีไปกับเขาทุกที่ เพราะดนตรีจะช่วยคลายทุกข์ ลดความเครียด และทำให้จิตใจเบิกบานได้ ขอแนะนำว่าคุณควรเลือกประเภทดนตรีในแบบที่ชอบ และในช่วงที่เครียดมาก ๆ โดยเฉพาะช่วงอ่านหนังสือสอบ ก็ควรเลือกฟังดนตรีแบบที่เสียงไม่ดังมาก หรือไม่หนวกหูจนเกินไป เพราะเสียงที่ดังมากอาจทำให้ตื่นก็จริง แต่ก็จะกระตุ้นให้เครียดมากขึ้นด้วย เทคนิคลดความเครียดบรรเทาความเครียดจากการเรียนด้วยการกินแก้เครียด เด็กนักเรียนนักศึกษามักมีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัว โดยเฉพาะช่วงใกล้สอบ เพราะมักจะกินมากเป็นพิเศษ พอเครียดปุ๊บก็กินปั๊บ คิดว่าการกินนี่แหละที่จะช่วยให้หายเครียดได้ทันที แต่ใช่ว่าอาหารทุกชนิดจะเหมาะสำหรับคลายเครียด อาหารที่ควรเน้นกินมากที่สุดในช่วงที่ใช้สมองมาก ๆ ก็คือ อาหารที่อุดมด้วยวิตามินบี 12 ซึ่งจะช่วยบำรุงระบบประสาท ป้องกันอาการซึมเศร้า และบรรเทาอาการเครียดได้ด้วย โดยพบได้มากในอาหารต่าง…
คนในโลกส่วนใหญ่ มักจะถนัดขวามากกว่าซ้ายหลายเท่า ดังนั้นเราจึงมองว่าคนที่ถนัดซ้ายมีความแตกต่างจากเรา หรือพิเศษกว่าคนทั่วไป ซึ่งเรื่องความถนัดของมือซ้ายนี้หลายคนมักยังไม่รู้ข้อมูล และมีความลับของคนถนัดมือซ้ายอีกมากมายที่จะทำให้คุณแปลใจ ยิ่งถ้าคุณเป็น คนถนัดซ้าย ที่อยู่ในวันศึกษาเล่าเรียน ก็ควรสนใจเรื่องนี้อย่างยิ่ง เพราะสามารถทำนายแนวโน้มเรื่องการเรียนจากมือซ้ายข้างถนัดของคุณได้ แนวโน้ม เรื่องการเรียนของ คนถนัดซ้าย คนถนัดซ้ายเรียนวิชาที่สนใจได้ดี เชื่อกันว่าถ้าคนถนัดซ้ายสนใจเรื่องราว หรือวิชาใดเป็นพิเศษ เขาจะเป็นอัจฉริยะในวิชานั้นไปเลย เนื่องจากเขาจะลงลึกจนถึงขั้นหมกมุ่นเลยทีเดียว คนถนัดซ้ายจะมีพรสวรรค์ บ่อยครั้งที่คนถนัดซ้ายไม่ได้มีพื้นฐานในวิชา หรือทักษะนั้น ๆ มาก่อนเลย แต่ในครั้งแรกเขาก็ทำได้ดีจนน่าตกใจ เหมือนคนที่มีพรสวรรค์ติดตัวมาแต่เกิด คนถนัดซ้ายจะมีไอคิวสูง ถ้ามีการวัดไอคิว คนถนัดซ้ายมักจะไอคิวเฉลี่ยสูงกว่าคนที่ถนัดขวา แต่แม้คนถนัดซ้ายที่มีไอคิวต่ำ เขาก็มีความสนใจพิเศษ หรือเรียนบางเรื่องได้ดี คนถนัดซ้ายจะเรียนรู้ได้หลายอย่าง คนที่ถนัดซ้ายจะมีความสามารถในการทำสิ่งต่าง ๆ หลายอย่างพร้อมกัน และทำได้ดีมาก ซึ่งเขาจะมักจะไม่เกิดความสับสน หรือหลงลืมสิ่งที่เคยเรียนรู้มาก่อน คนถนัดซ้ายจะทำโจทย์ยาก ๆ ซับซ้อนได้ ถ้ามีข้อสอบหรือโจทย์ยาก ๆ ที่มีความซับซ้อน ก็ต้องส่งมาให้คนถนัดซ้ายเลย เพราะเขาจะมีกระบวนการคิดที่แตกต่างสร้างสรรค์กว่าคนอื่น และเขามักจะมีวิธีคิดที่ไม่เหมือนคุณครูสอน คนดังที่ถนัดมือซ้าย สิงห์อีซ้ายที่มีชื่อเสียง…
คำว่า “คุณครู” ไม่ได้มีหน้าที่สอนศิษย์ให้เข้าใจในเนื้อหาสาระหรือเป็นแม่พิมพ์พ่อพิมพ์อย่างเดียว ทว่าความเป็นครูที่ดี ควรเสริมสร้างพัฒนาการในทุก ๆ ด้านของนักเรียนให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด เนื่องจากนักเรียนไทยใช้เวลาในการอยู่โรงเรียนมากกว่าอยู่บ้าน ใช้ชีวิตทั้งหมดของวันไปกับการเรียน การทำรายงาน การทำการบ้าน เป็นต้น ดังนั้นผู้ปกครองจึงไว้วางใจคุณครู หน้าที่ของครูจริง ๆ แล้วต้องสร้างเด็กทุกคนให้เป็นคนเก่งและคนดีของสังคมได้ โดยไม่มีการแบ่งชนชั้น นักเรียนทุกคนต้องได้รับการเอาใส่ใจและสั่งสอนที่ทุกคน ซึ่ง พัฒนาการทางสมอง ทั้ง 5 ด้านจึงเป็นพื้นฐานของการรับความรู้ที่คุณครูควรพัฒนา ดังนี้ พัฒนาการทางสมอง 5 ด้านให้กับเด็กๆ นักเรียน ด้านวิชาการและการมีวินัย ซึ่งเป็นหน้าที่พื้นฐานอยู่แล้วที่คุณครูทุกคนต้องปฏิบัติ คือ การสอนหนังสือนักเรียนให้ได้ประสิทธิภาพรวมถึงสร้างระเบียบวินัยในนักเรียน สำคัญ! เป้าหมายของการเรียนไม่ได้เรียนเพื่อรู้อย่างเดียว ต้องเรียนเพื่อนำไปใช้ได้ในชีวิตจริง ด้านการสังเคราะห์ เป็นด้านที่เด็กไทยส่วนใหญ่ไม่ถนัด ดังนั้นคุณครูต้องเร่ง พัฒนาการทางสมองในส่วนของสังเคราะห์ หากเด็กนักเรียนแยกแยะเรื่องราวต่าง ๆ ไม่ได้ ถือว่าคุณครูไม่ประสบความสำเร็จในการสอนนั้นเอง ด้านสารสนเทศ เป็นที่ทราบกันดีว่าในปัจจุบันสื่อและเทคโนโลยีมีผลต่อการตัวผู้เรียนสูง หากไม่สอนให้นักเรียนเสพสื่ออย่างถูกต้องอาจส่งผลให้นักเรียนหลงผิดได้ เช่น ในการดูสินค้าทางอินเทอร์เน็ต คุณครูควรสอนให้เด็กซื้อสินค้าอย่างไร…?…
เคยเจอปัญหานี้กันบ้างไหม เตรียมตัวมาอย่างดี เวลาสอบก็ตั้งใจทำ ข้อสอบ อย่างสุดความสามารถ ข้อไหนคิดออกก็ลงมือแก้โจทย์นั้นก่อน ข้อไหนทำไม่ได้ก็ข้ามไปเพื่อความรวดเร็ว และถ้าข้อไหนไม่แน่ใจก็ใช้วิธีตัดตัวเลือกจนเหลือแค่ 2 ข้อ เอาไว้ตัดสินใจในวินาทีสุดท้าย เรื่องทำได้หรือไม่ได้ก็ส่วนหนึ่ง แต่ที่เจ็บใจมากสุดก็คือการ เลือกตอบในข้อที่ถูกแล้ว พอเวลาตรวจทานซ้ำกลับเปลี่ยนไปเลือกข้อผิด ช้ำใจยิ่งกว่าทำไม่ได้เสียอีก ใครที่เจอกับเหตุการณ์แบบนี้บ่อยๆ ลองใช้วิธีเหล่านี้ดู ปัญหาการแก้ ข้อสอบ จากถูกเป็นผิด จะหมดไปด้วยวิธีเหล่านี้ จำไว้ว่าการตัดสินใจครั้งแรกมีเปอร์เซ็นต์ถูกมากกว่าเสมอ อันนี้เราพูดถึงกรณีที่ค่อนข้างมั่นใจในการทำ ข้อสอบ นั้นๆ หากในครั้งแรกที่แก้โจทย์ เรารู้สึกว่าลังเลอยู่แค่เล็กน้อย เวลาตรวจทานให้ข้ามข้อนั้นไปได้เลย เพียงแค่ดูว่าทำครบถ้วนแล้วก็พอ อย่าย้ำคิดย้ำทำ อีกอย่างหนึ่งคือตอนที่เราคิดซ้ำสมองก็เริ่มล้าแล้วด้วย โอกาสผิดจึงสูง เลือกทำโจทย์อัตนัยที่พอทำได้แล้วใช้เวลามากก่อน ยิ่งโจทย์ใน ข้อสอบ ยากเท่าไร เราก็ยิ่งต้องใช้สมองมากเท่านั้น การเก็บข้อยากไว้ทำช่วงท้ายๆ จึงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก เว้นเสียแต่เราจะทำไม่ได้อยู่แล้ว ก็ปล่อยทิ้งไปได้เลย ไปเลือกเก็บเอาข้อที่ทำได้จะดีกว่า ทีนี้เมื่อทุ่มเทสมาธิในการหาคำตอบไปแล้ว ให้ตัดใจวัดดวงไปเลย ถูกก็ถูก ไม่ถูกก็แล้วไป…
คาดว่าน่าจะมีรุ่นพี่และเพื่อนๆ ที่เรียนเก่งหลายคน ให้แนวทางในการเตรียมสอบที่ยอดเยี่ยมเอาไว้แล้ว นั่นก็คืออย่าเร่งอ่านในช่วงสั้นๆ แต่ให้วางแผนการอ่านหนังสือสอบล่วงหน้าเป็นเดือน จะได้ทยอยอ่านและเก็บรายละเอียดได้แบบไม่หักโหมเกินไป พอเอาเข้าจริง หลายคนก็เลือกที่จะ อดนอนก่อนสอบ กันมากกว่าอ่านหนังสือล่วงหน้าอยู่ดี ส่วนหนึ่งก็เพราะมันมีกิจกรรมอย่างอื่นที่ดึงดูดความสนใจได้มากกว่า แล้วอีกส่วนหนึ่งก็กลัวจะลืมถ้าอ่านล่วงหน้านานเกินไป แต่ปัญหาคือ ได้อ่านหนังสือเต็มที่จริง แต่นอนไม่พอ เวลาสอบเลยคิดไม่ออก งั้นเราต้องมาหาตัวช่วยกันสักหน่อย ปรับสภาพร่างกายและสมอง จากการ อดนอนก่อนสอบ ดื่มน้ำเปล่าให้มากกว่าปกติ ใครที่คิดว่า อดนอนก่อนสอบ แล้วจะต้องกินเครื่องดื่มชูกำลัง กาแฟ ชา หรืออะไรก็ตามที่น่าจะกระตุ้นระบบประสาทให้ตื่นตัวได้ บอกเลยว่าเป็นความคิดที่ผิดอย่างมาก การทำแบบนั้นมันจะช่วยให้รู้สึกดีแค่ช่วงสั้นๆ ไม่นานก็จะกลับสู่สภาพเดิม แถมหนักสมองมากกว่าเดิมอีกด้วย หันมาดื่มน้ำเปล่าให้มากขึ้นดีกว่า เพราะน้ำจะช่วยให้สมองมีพลังงานและมีสมาธิมากขึ้นได้ เลือกทานอาหารที่เพิ่มความสดชื่น ยิ่งนอนน้อยก็ยิ่งต้องกิน แม้ว่าจะไม่รู้สึกหิวเลยก็ตามที ทุกครั้งที่ อดนอนก่อนสอบ ควรเลือกทานอาหารที่เพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกาย เช่น ผักอวบน้ำ ผลไม้รสอมเปรี้ยวอมหวาน ผลไม้ที่มีฉ่ำน้ำ เป็นต้น ตัวที่น่าสนใจที่สุดก็คือกลุ่มส้มและเบอร์รี่ นอกจากรสชาติอร่อยแล้วก็ยังกระตุ้นการหมุนเวียนเลือดในสมองได้ด้วย งีบหลับ…