ภาษาอังกฤษเป็นสากลที่ควรสื่อสารได้ แต่ในปัจจุบันการ เรียนภาษาที่ 3 นับได้ว่าทักษะที่ควรจะเรียนรู้ไว้เพื่อเพิ่มมิติกับตัวเองและเพื่อโอกาสที่มากขึ้นในโลกของการทำงาน ก่อนเลือก เรียนภาษาที่ 3 ต้องพิจารณาอะไรบ้าง? 1.พิจารณาเลือกเรียนภาษาที่ 3 โดยคำนึงถึง โอกาสที่จะได้ใช้ การเรียนภาษาโดยดูจากโอกาสที่จะใช้ ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เช่น จะสามารถหางานได้ง่ายขึ้นหรือไม่ ภาษานี้มีบุคลากรขาดแคลนหรือเปล่า เพราะถ้าหากเรียนแล้วแต่งานรองรับน้อยก็จะทำให้ได้ไม่คุ้มเสียกับการลงแรงเรียนไป 2.พิจารณาเลือกเรียนภาษาที่ 3 ด้วยความยาก-ง่าย ลักษณะของภาษา หากเราพิจารณาจากข้อแรกแล้วข้อนี้ก็นับว่าเป็นเรื่องสำคัญ เพราะการเรียนภาษามีความยากง่ายไม่เท่ากัน เช่น ภาษาจีน หรือญี่ปุ่น อาจต้องใช้เวลาเรียนนานมากกว่า 5 ปี ถึงจะชำนาญ ซึ่งถ้าเทียบกับภาษามลายูหรืออินโดนีเซีย อาจใช้เวลาสั้นกว่าเพียง 2-3 ปี ก็ชำนาญได้ 3.พิจารณาเลือกเรียนภาษาที่ 3 ดูจาก ระยะทาง จากประเทศไทยไปประเทศนั้น แน่นอนว่าเรื่องนี้ก็นับเป็นเรื่องที่ต้องนำมาพิจารณาด้วย เพราะเมื่อใดก็ตามที่เราเลือกเรียนภาษานั้นไปแล้ว ก็เสมือนว่าเราจะต้องใกล้ชิดกับประเทศนั้นด้วย ซึ่งเราก็ไม่มีทางทราบได้ว่าอนาคตจะต้องไปทำงานในประเทศนั้นหรือไม่ โดยหากใครชื่นชอบประเทศนั้นอยู่แล้วก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าใครไม่ชอบเดินทางไกล หรือไม่ชอบห่างบ้านนาน ๆ…
แคน นับเป็นเครื่องดนตรีชนิดหนึ่ง ที่ถูกกล่าวขานถึงเสียงที่ไพเราะ ยามในที่ได้ยินก็จะทำให้นึกถึงบรรยากาศท้องทุ่งและภูมิทัศน์อันเงียบสงบ ทำให้แคนกลายเป็นเครื่องดนตรีดั่งสัญลักษณ์ของภาคอีสาน และของประเทศลาว แต่มีใครรู้ไม่ว่าแท้จริงแล้ว ประวัติของแคน อาจไม่ได้ถือกำเนิดมาจากสองประเทศดังกล่าว แม้จะมีหลักฐานจากการขุดพบแคนจากหลุมฝั่งศพ เพราะมีหลักฐานชิ้นสำคัญที่เก่าแก่กว่านั้น ทำความรู้จัก ประวัติของแคน เครื่องดนตรี คู่ถิ่นอีสาน ประวัติของแคน ที่น่าสนใจ ตามวัฒนธรรมดองซอน คือ กลุ่มอารยธรรมเก่าแก่ ที่มีศูนย์กลางอยู่ในแถบภาคกลางของเวียดนามและแผ่กว้างไปถึงจีนตอนใต้ ลาว และบริเวณภาคอีสานของไทย สำหรับหลักฐานสำคัญที่พบเป็นขวานหิน โดยที่ด้ามขวานมีรอยสลักเป็นรูปผู้หญิงกำลังเป่าแคนอยู่ ทำให้หลักฐานชิ้นนี้ค่อนข้างสำคัญและตอกย้ำถึงทฤษฎีที่มีมาก่อนหน้านี้ว่าการเป่าแคนเมื่อ 2-3 พันปีก่อน ในยุคที่ยังนับถือศาสนาผี ผู้หญิงคือเพศที่มีความสำคัญ มีอภิสิทธิ์ทางสังคมเหนือกว่าผู้ชายในหลายบริบท ที่แม้แต่การเป่าแคนเพื่อเรียกผีมาทำพิธีกรรม ยังต้องเป็นหน้าที่ของผู้หญิง กรทั่งจุดเปลี่ยนสำคัญ คือเมื่อศาสนาพราหมณ์ฮินดูและพุทธเข้ามา ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงแนวคิดทางสังคม จนแปรเปลี่ยนเป็นการเชิดชูและให้อำนาจทางเพศแก่เพศชาย จวบจนปัจจุบัน ตาม ประวัติของแคน จากเครื่องมือที่ใช้เป่าเพื่อเรียกผี ได้ถูกวิวัฒนาการจนกลายเป็นเครื่องดนตรีในที่สุด ซึ่งมีกรรมวิธีที่ต้องใช้ความละเอียดและประณีตของช่างแคน กระทั่งกลายเป็นดนตรีสัญลักษณ์ประจำถิ่นของภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ในตอนกลางของลาว ส่วนในเวียดนามพื้นที่ต้นทาง ไม่หลงเหลือวัฒนธรรมดนตรีแคนอีกแล้ว สำหรับแคนมีการปรับตัวให้เข้ากับดนตรีสากลด้วยการมีโน้ต ที่สามารถจำแนกออกมาได้ 5…
ใครหลายๆคนอาจจะสังเกตได้ว่า เมื่อใดก็ตามที่เราเขียนหรือสื่อสารภาษาไทยคำว่า กู ข้า ข้าพเจ้า ฉัน หรือเรา เมื่อนำไปเทียบแปลกับภาษาภาษาอังกฤษ จะได้คำว่า I (ฉัน) คำเดียวเท่านั้น หรือกลับกันคำว่า มึง แก เอ็ง เธอ คุณ เมื่อนำไปเทียบแปลกับภาษาอังกฤษก็จะได้แค่คำว่า You (เธอ) เท่านั้นเหมือนกัน ซึ่งเคยสงสัยกันไหมว่าทำไม ภาษาอังกฤษ ถึงไม่มีคำอื่นบ้าง และทำไมถึงมีแค่นี้ ภาษาอังกฤษ และภาษาอื่น ๆ ในทวีปยุโรป มีระดับของคำ ที่ใช้เรียกกลุ่มคนต่าง ๆ ก่อนอื่นต้องกล่าวก่อนว่าในอดีต ภาษาอังกฤษ และภาษาอื่น ๆ ในทวีปยุโรปก็มีระดับของคำที่ใช้เรียกกลุ่มคนต่าง ๆ เหมือนเฉกเช่นภาษาของพวกเรา แต่สังคมยุโรปในยุคเปลี่ยนผ่านจากสังคมชนชั้นศักดินาเป็นยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ ซึ่งเป็นการเข้าสู่ยุคระบบสังคมแบบใหม่ที่ให้คุณค่าความเป็นปัจเจกชนว่าทุกคนเท่าเทียมกัน นั้นจึงทำให้หลายสิ่งหลายอย่างในสังคมเปลี่ยนแปลงตามไป ไล่ตั้งแต่ระบบครอบครัวที่เกิดค่านิยมการย้ายออกไปมีบ้านเป็นของตัวเอง ทุกคนสามารถมีของใช้เป็นของตัวเองได้ด้วยการซื้อ รวมถึงที่กำลังกล่าวถึงในหัวเรื่องนี้ นั่นคือระดับภาษาที่ถูกปรับเปลี่ยนจนเป็นอย่างที่เราเห็น ส่วนในระบบสังคมเอเชีย เราไม่เคยเผชิญกับยุคการเปลี่ยนผ่านสังคมขนานใหญ่แบบยุโรป นั่นจึงทำให้พวกเราไม่ได้ซัมซับตามระบบบรรทัดฐานแบบยุโรป…
ชื่อว่าน้อง ๆ หลายคนที่อยู่ในวัยมัธยมจะต้องมีบ้างกับประสบการณ์ขอเพื่อนลอกการบ้าน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลทำการบ้านไม่ทัน ไม่เข้าใจเนื้อหา หรืออะไรก็ตามแต่ แม้ว่าจะมีการบอกกล่าวกันเป็นประจำว่าการลอกการบ้านนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำและควรอย่างยิ่งที่ต้องทำการบ้านด้วยตัวเอง ซึ่งก็เป็นเรื่องจริงหากน้อง ๆ ลอกไปแบบผ่าน ๆ นั่นย่อมไม่เกิดประโยชน์และจะเป็นโทษแก่น้อง ๆ เมื่อยามสอบ แต่สำหรับวันนี้เราจะมาคิดหักมุมกันว่า การลอกการบ้านนั้นก็มีประโยชน์หากเรามีวิธีคิดที่ถูกต้อง ซึ่งหลักการ ลอกการบ้าน แต่ละวิชาจะมีความแตกต่างกันออกไป โดยมีตัวอย่างดังนี้ หลักการ ลอกการบ้าน แต่ละวิชาจะมีความแตกต่างกันออกไป โดยมีตัวอย่างดังนี้ วิชาคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และที่เกี่ยวกับการคำนวณ วิชานี้จะมีหัวใจหลักคือการใช้สูตรที่ถูกต้องกับโจทย์ การทำโจทย์บ่อย ๆ จะทำให้น้อง ๆ ชำนาญว่าควรวางสูตรไหน ฉะนั้นเมื่อน้อง ๆ ได้ลอกการบ้านมาแล้ว น้อง ๆ จะต้องนำสิ่งที่ลอกมาดูซ้ำเพื่อสังเกตวิธีการคิดนวณของเพื่อน เมื่อเริ่มจับทางได้ น้อง ๆ ก็ต้องริเริ่มทำโจทย์ด้วยตัวเองและลดการลอกการบ้านลง จะทำอีกก็ต่อเมื่อเราไม่เข้าใจเพียงพอ วิชาภาษาอังกฤษและภาษาอื่น ๆ วิชาที่เกี่ยวข้องกับภาษาอาจมีตัวบ่งชี้ว่าถูกหรือผิด แต่มันก็มีอีกมุมที่ต้องมาดูบริบทว่าการใช้คำและรูปประโยคนั้นเหมาะสมกับสถานการณ์ด้วยหรือไม่ ฉะนั้นเมื่อน้อง ๆ…
ในระบบการศึกษาไทย เรามักจะภูมิใจเสมอที่ชาติไทยของเราไม่ตกเป็น “อาณานิคม” จากชาติตะวันตก และมักถูกปลูกฝังให้มองว่า เจ้าอาณานิคม คือสิ่งที่เลวร้ายและมีแต่ความเสียหาย แล้วหากเรามองในมุมของเจ้าอาณานิคมบ้างล่ะ พวกเรามีความคิดว่าจะพวกเขาจะต้องยึดดินแดนทั้งหมดที่ขวางหน้าเหมือนที่เราคิดหรือเปล่า? เจ้าอาณานิคม ต้องการยึดพื้นที่แบบไหน มากที่สุด ก่อนอื่นต้องเริ่มจากการคมนาคมในสมัยนั้นที่ใช้การเดินทางด้วยเรือเป็นหลัก ทำให้ท่าเรือและเมืองที่ติดทะเลกลายเป็นพื้นที่ดั่งทำเลทอง นั่นจึงทำให้ เจ้าอาณานิคม เข้ามาติดต่อค้าขาย และเมื่อนานวันก็มีพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้พื้นที่ทำเลทองมานี้เป็นของตน มะละกา สิงคโปร์ ปีนัง เกาะสุมาตราตอนเหนือ เกาะชวา และเกาะทางเหนือของฟิลิปปินส์ จึงถูกยึดครองโดย เจ้าอาณานิคม โปรตุเกส อังกฤษ และดัตช์ ส่วนฝรั่งเศสที่มาทีหลัง ทำเลทองถูกยึดครองไปหมดแล้ว ทำให้ต้องหาพื้นที่ใหม่ที่ยังไม่ถูกครอบครอง ซึ่งกองทัพฝรั่งเศสเลือกยุทธวิธีล่องเรือไปตามแม่น้ำโขงเพื่อเข้าไปตีเมืองจีน ทำให้ต้องไปยึดครองเวียดนาม กัมพูชาและลาว โดยสองประเทศหลังมีความยินดีที่จะอยู่ใต้อาณานิคมฝรั่งเศส แต่ท้ายที่สุดการยึดครองของฝรั่งเศสก็ไม่เกิดผล เพราะแม่น้ำโขงตื้นเขินและมีเศษตะกอนใต้น้ำเยอะ ทำให้เรือลำใหญ่ของกองทัพไม่สามารถล่องไปได้ แล้วประเทศไทยของเราล่ะ มีบทบาทสำคัญอย่างไรในยุคนั้น สำหรับไทยมีภูมิประเทศอยู่ตรงกลางของภาคพื้นทวีป ซึ่งไกลจากเส้นทางคมนาคมเรือที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ภาคพื้นสมุทร นั่นจึงทำให้ไทยเป็นทำเลที่ไม่ใช่จุดหมายปองของชาติตะวันตก แต่มักจะใช้ไทยเป็นรัฐกันชน โดยเฉพาะระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส ซึ่งทั้งสองจะใช้วิธีการกดดันไทย ด้วยการยึดดินแดนบริเวณชายแดนและนำดินแดนส่วนอื่นมาแลกสลับกันไปมา ฉะนั้นนี่จึงเป็นประเด็นสำคัญ ที่กำลังจะบอกว่าการศึกษาไทยพยายามจะชี้ชวนไปว่าไทยมีความเก่งกล้าสามารถในการต้านทานชาติตะวันตกไว้ได้ชาติเดียวในภูมิภาค…
การตีเด็ก เป็นวิธีการหนึ่งที่สังคมไทยใช้มาอย่างยาวนานเพื่อลงโทษเด็กเมื่อกระทำผิด จนเคยมีคำกล่าวว่า “ไม้เรียวนั้นสร้างคนให้ได้ดีมานักต่อนัก” แต่ในปัจจุบันเริ่มมีแนวความคิดที่ต่างออกไป โดยมองว่าการตีนั้นไม่ได้ช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้ อีกทั้งยังเป็นการปลูกฝังความรุนแรง นี่จึงการเป็นปัญหาที่ถูกถกเถียงว่าสุดท้ายแล้วการตีเด็กมันคือความรุนแรง หรือเพื่อการสั่งสอน การตีเด็ก ดาบสองคม สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ ประเด็นสำคัญนี้จะต้องย้อนไปถึงตัวพ่อแม่ ผู้ปกครอง เป็นสำคัญว่าการตีของเรานั้นเป็นอย่างไร หาก การตีเด็ก ด้วยความโกรธ ยกอารมณ์หรือความพอใจของตัวเองอยู่เหนือเหตุผล และขาดการพูดสั่งสอนหรืออธิบาย นั่นจึงเข้าข่ายเป็นการตีเด็กที่ใช้ความรุนแรง ซึ่งผลเสียของมันจะกระทบต่อเด็กโดยตรง เช่น เด็กจะซึมซับความรุนแรงตั้งแต่อายุยังน้อย เด็กจะไม่กล้าคิดกล้าแสดงออกเพราะเกรงกลัวว่าจะโดนตี และหากร้ายแรงที่สุดคือ ถ้าเด็กเหล่านี้เติบโตเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น อาจทำให้เด็กเหล่านี้เกิดความอึดอัดใจ และต้องการหาพื้นที่ที่สบายใจมารองรับ โดยเฉพาะการหันไปพึ่งพิงพื้นที่สังคมนอกบ้านแทน เพื่อฉีกตัวออกห่างจากพ่อแม่ ซึ่งจะเป็นความเสี่ยงอันตรายที่อาจทำให้เด็กเหล่านี้เดินทางชีวิตผิด ประเด็นสำคัญที่จะต้องทบทวนใหม่หากยังต้อง การตีเด็ก เพื่อสั่งสอน คือ การใช้เหตุและผลให้มากที่สุด โดยพ่อแม่ จะต้องเป็นผู้นำมาใช้และสร้างให้เป็นบรรทัดฐานแก่เด็ก และเมื่อใดที่เด็กกระทำผิดก็ต้องมีการอบรมสั่งสอนด้วยการพูดอธิบาย ว่าผิดอย่างไรทำไมถึงจะต้องโดนตี การกระทำที่ถูกต้องควรปฏิบัติอย่างไร และตีสั่งสอนไป ซึ่งจะทำให้การตีเด็กมีผลดีกับตัวเด็กมากขึ้น อีกทั้งเด็กจะมีการเรียนรู้และปรับปรุงตัว เพื่อที่จะให้ตัวเองไม่โดนตีอีก นอกจากนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือพ่อแม่ต้องปฏิบัติตัวเพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีแก่เด็กเพื่อให้สิ่งที่ได้สอนไปนั้นเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ฉะนั้นแล้วจึงจะเห็นได้ว่า การตีเด็ก มีลักษณะเหมือนดาบสองคม…
การเข้าแถวหน้าเสาธง ของโรงเรียนในอดีตและในปัจจุบัน มีบริบทที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่ก็ยังเชื่อว่าการเข้าแถวหน้าเสาธงจะช่วยให้เด็กมีวินัยในตนเอง เคารพกฎกติกาของโรงเรียน แต่ลืมไปว่าเมื่อสภาพสังคมเปลี่ยนแปลง การเข้าแถวหน้าเสาธงจะกลายเป็นเรื่องที่น่าเบื่อไปโดยปริยาย เนื่องด้วยเวลาเปลี่ยน แต่เหมือนการนำเสนอ การเข้าแถวหน้าเสาธง รวมทั้งเรื่องราวที่นำเสนอกลับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง และไม่เชื่อว่าจะช่วยบ่มวินัยในเด็กได้เหมือนปัจจุบัน การเข้าแถวหน้าเสาธง กับเด็กในยุคปัจจุบัน ก่อนอื่นจะต้องแยกระหว่าง การเข้าแถวหน้าเสาธง กับวินัยในโรงเรียนให้ออกเสียก่อน เนื่องด้วยการเข้าแถวในปัจจุบันไม่ครอบคลุมเนื่องด้วยจากสถานการณ์เสี่ยงต่อติดเชื้อ สภาพแดดร้อนในประเทศไทย และการจัดแถวที่สื่อให้เห็นด้านลบในสายตาชัดเจน เช่น เด็กนักเรียนเข้าแถวกลางแดด แต่ครูกลับกางร่มบังแดด แทนที่จะหาที่ร่มให้เด็กได้หลบแดดมากกว่าที่จะอ้างว่าฝึกความอดทนเสียอีก แล้วนั่นก็เป็นสองมาตรฐานระหว่างช่องว่างระหว่างวัยเพิ่มขึ้น ต่อมาในส่วนของวินัย ถ้าจะให้ดีควรแก้ไขที่โครงสร้างสังคมก่อนอันดับแรก เนื่องด้วยวินัยสามารถสร้างได้ที่โรงเรียนก็จริง แต่จะมีวินัยนั้น ครูต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเด็กและเยาวชน โดยเฉพาะการต่อแถว การตรงเวลา การรับผิดชอบต่อหน้าที่และงานสอนของตนเอง หาใช่เรียกร้องวินัยจากเด็กเพียงฝ่ายเดียวไม่ ถ้ายังเป็นเช่นนั้นอยู่ กลับสะท้อนในปัญหาการศึกษาชัดเจน ซึ่งในประเทศไทยมิได้เป็นแค่หลักสูตรการสอบเข้าเท่านั้น แต่จริยธรรม ทัศนคติที่ดีกลับไม่ได้ปลูกฝังที่ดีในผู้ใหญ่ จึงทำให้เห็นภาพในสื่อที่ไม่ดีในด้าน การเข้าแถวหน้าเสาธง ในหลายครั้ง ภาพลักษณ์ครูจะเสียความน่าเชื่อถือไปโดยปริยาย เพียงกลายเป็นผู้บังคับออกคำสั่งด้วยกฎมากกว่าที่จะใช้จิตวิทยาครู ในมุมมองของผู้เขียน การเข้าแถวอาจจะไม่ใช่เป้าหมายของการสร้างวินัยในนักเรียนอีกต่อไป แต่สิ่งที่จะสร้างวินัยที่ดีที่สุดนั่นก็คือผู้ใหญ่นี่แหล่ะ เพราะผู้ใหญ่วันนี้คือเด็กในวันวานมาก่อน และเด็กในวันนี้ก็คือผู้ใหญ่ในวันหน้าเช่นกัน …
15 ค่ำ เดือน 12 คือ “วันลอยกระทง” ตามประเพณีไทย ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อถึงค่ำคืนนี้ไม่ว่าใคร ๆ ก็จะต้องออกนอกบ้าน เพื่อไปลอยกระทงที่แม่น้ำ คลอง บึง หรือสถานที่ที่จัดให้มีการลอยกระทง ซึ่งในมุมของเด็กวัยรุ่นที่มีความรักในวัยเรียน เทศกาลสำคัญนี้ย่อมเป็นอีกวันหนึ่งที่คู่รักวัยรุ่นจะสร้างความทรงจำดี ๆ ร่วมกัน แต่ขณะเดียวกันเทศกาลดังกล่าวยังถูกขนานนามว่าเป็นวันเปิดบริสุทธิ์ของวัยรุ่นอีกด้วย ฉะนั้นบทความนี้จะมา หาเหตุผล ว่าทำไม วันลอยกระทง จึงกลายเป็นวัน เปิดบริสุทธิ์ของวัยรุ่น สาเหตุ วันลอยกระทง วันเปิดบริสุทธิ์ของวัยรุ่น เหตุผลข้อแรก วันลอยกระทง เป็นวันที่สามารถออกไปเที่ยวได้แบบอิสระมากที่สุด เพราะหลายครั้งถ้าเป็นวันปกติที่ต้องขออนุญาตพ่อแม่ไปเที่ยว เช่น วันเกิดเพื่อน หรือล้อมวงดื่มสุรา อาจจะขออนุญาตได้ยาก แต่หากเป็น วันลอยกระทง ผู้ปกครองก็คงจะหาเหตุผลมาห้ามได้ยาก เพราะ 1 ปี เทศกาลนี้ก็มีเพียงครั้งเดียว และแน่นอนว่าหากตั้งใจหรืออัดอั้นเรื่องอย่างว่ามานานแล้วละก็ วันนี้เป็นโอกาสเหมาะที่สุดสำหรับวัยรุ่นในการเผด็จศึกให้จงได้ เหตุผลข้อที่สอง การออกไปลอยกระทงสถานการณ์บังคับต้องไปตอนกลางคืน ซึ่งเมื่อลอยเสร็จแล้ว วัยรุ่นคู่รักก็อาจไปดื่มกินกันต่อ แต่หลังจากนั้นเมื่อเลยเที่ยงคืนไปแล้ว…
ในช่วงนี้เรื่องราวทางการเมืองกลายเป็นประเด็นที่ดุเดือดเสมอ เมื่อถูกหยิบขึ้นมาพูดในที่สาธารณะ ที่มักเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจซึ่งกันและกันของทั้งสองฝ่าย จนยากที่พูดคุยกันได้รู้เรื่องท่ามกลางสื่อโคมลอยมากมาย ทำให้ในวันนี้จะนำเกร็ดความรู้ที่ไม่มีในห้องเรียนมาบอกเล่าถึงจุดเริ่มต้นที่ทำให้ สถาบันกษัตริย์ กลายเป็นสิ่งสูงส่งในสังคมไทยดังที่เราเห็นกันทุกวันนี้ สถาบันกษัตริย์ ชนชั้นพิเศษ ที่ไม่ปกติ เหมือนสามัญชนทั่วไป ในอดีตทั่วทั้งภูมิภาคมีชนชั้นปกครองที่เรียกว่ากษัตริย์ หรือราชา โดยมีหน้าที่ในการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยของเมืองที่ตนปกครองอยู่ จวบจนคติความคิดของพราหมณ์-ฮินดู เข้ามาในภูมิภาคแห่งนี้ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวได้เข้ามายกกลุ่มชนชั้นปกครองที่ว่านี้ให้เปรียบเสมือนเทพตามคติของพราหมณ์-ฮินดู ผ่านพิธีกรรมต่าง ๆ ให้ถูกมองออกไปว่า สถาบันกษัตริย์ เป็นชนชั้นพิเศษที่ไม่ปกติเหมือนสามัญชนทั่วไป ทำให้กษัตริย์ในไทย ลาว กัมพูชา เมียนมาร์ และมาเลเซีย ต่างสร้างเทวสถานและดำรงตนให้มีลักษณะเป็นไปตามคติคิดของพราหมณ์ซึ่งมีอายุมานานนับพันปีแล้ว จวบจนเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เข้ามาเป็นปัจจัยให้ถูกเบริบทสังคมแปรเปลี่ยนไป เช่น มาเลเซีย ผู้ปกครองเปลี่ยนแนวคิดไปในทางศาสนาอิสลาม เมียนมาร์ถูกแนวคิดทางพุทธศาสนาครอบงำจนศาสนาพราหมณ์-ฮินดูถูดลดบทบาทลงไป กัมพูชา ยังคงมีแนวคิดทางพราหมณ์ฮินดูที่เหนียวแน่น แต่จะเน้นไปที่การบูชาเทวสถานกับพิธีกรรม ส่วนไทยนั้นแม้จะมีศาสนาพุทธเข้ามา แต่ก็มีบทบาทในลักษณะผสมผสานกับพราหมณ์-ฮินดู ดังที่จะเห็นได้จากแนวคิดและพิธีกรรมต่าง ๆ แต่สิ่งเหนืออื่นใดจะยังคงอิงกับตัวบุคคลเป็นหลัก เพราะเป็นสิ่งที่โดดเด่นสูงสุดเท่าที่มีอยู่ในสังคมไทย นั่นจึงทำให้แนวคิดเรื่อง สถาบันกษัตริย์ ที่ถูกปลูกฝังมาในสังคมอุษาคเนย์นานนับพันปี ถูกส่งผ่านไปยังหลายประเทศ ซึ่งมีไทยเป็นหนึ่งในนั้น โดยบริบทสังคมไทยนี่คือชนชั้นที่สูงส่งในสังคม…
แนะนำ 3ข้อต้องรู้ ก่อนไป ศึกษาต่อต่างประเทศ