Month: November 2020

อยากเป็น คนเก่งภาษา ต้องทำอย่างไร

อยากเป็น คนเก่งภาษา จำไว้ว่าไม่จำเป็นต้องรู้ ทั้งหมดเกี่ยวกับภาษาก็ได้

            รู้หรือไม่ว่า เราสามารถที่จะเปลี่ยนตัวเองจากที่พูดภาษาอื่นไม่ได้เลย นอกจากภาษาไทยอันเป็นภาษาประจำบ้านเกิด ให้กลายเป็น คนเก่งภาษา สื่อสารกี่ภาษาก็ได้ตามที่เราต้องการ ภายในระยะเวลาไม่นานเกินรออีกด้วย เพียงขอแค่เข้าใจความลับของการเรียนรู้ทักษะภาษาใหม่ๆ แล้วก็ใช้แบบแผนเดียวกันนี้กับทุกภาษา พร้อมมุ่งมั่นฝึกฝนอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 เดือนแรกเท่านั้นเอง แล้วจะพบว่าเรียนภาษานั่นง่ายนิดเดียว อย่าพึ่งเชื่อจนกว่าจะได้ลองทำด้วยตัวเอง อยากเป็น คนเก่งภาษา ต้องทำอย่างไร                สิ่งแรกที่ต้องทำความเข้าใจกันใหม่ก็คือ คนเก่งภาษา เขาไม่ได้รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับภาษานั้นเลย ลองนึกย้อนกลับมาที่ภาษาไทย ซึ่งเราใช้กันเป็นปกติอยู่ทุกวัน เราสื่อสารได้อย่างดี ตั้งแต่บทสนทนาพื้นฐาน ไปจนถึงการแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่ซับซ้อน คำถามคือ เรารู้จักโครงสร้างของประโยคกี่แบบ ประเภทของคำที่เราใช้มีอะไรบ้าง ศิลปะทางภาษาอย่างพวก กาพย์ กลอน โคลง เราสามารถแต่งได้ด้วยหรือไม่ ร้อยทั้งร้อยตอบได้เลยว่า “ทำได้แค่บางอย่าง”                แม้แต่คำศัพท์ที่เราถูกปลูกฝังความเชื่อต่อๆ กันมาว่า มันเป็นส่วนที่สำคัญมาก คนเก่งภาษา เขาก็ไม่รู้ศัพท์ทั้งหมดเช่นเดียวกัน หมายความว่าหลังจากนี้ เราจะเรียนรู้ภาษาใหม่เมื่อไร ให้มองหาคำศัพท์เท่าที่จำเป็นเท่านั้น ตามค่าสถิติจะมีศัพท์เพียงแค่หลักพันต้นๆ เท่านั้นที่ใช้อยู่ประจำ เราเรียนรู้แค่นี้พอ ที่เหลือถ้ามันต้องใช้ค่อยไปสะสมเพิ่มตอนที่เราสื่อสารได้แล้ว…

เรียนออนไลน์ การศึกษาในอนาคต

เรียนออนไลน์ กับระบบการศึกษา ของเด็กไทยในอนาคต

            มีคนเคยกล่าวไว้ว่า เมื่อไรที่มีวิกฤติเข้ามา มันก็จะมีโอกาสใหม่ๆ เกิดขึ้นด้วยเสมอ เราได้เห็นภาพชัดของประโยคนี้ก็ตอนที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์โรคระบาดไวรัสโควิด-19 นี่เอง นักเรียนทั่วทั้งประเทศมีโอกาสได้ เรียนออนไลน์ โดยพร้อมเพรียงกัน แม้แต่โรงเรียนในเขตทุรกันดาร ที่ครูเองก็ยังไม่ได้เชี่ยวชาญระบบอินเตอร์เน็ตมากนัก ก็ถูกบังคับด้วยนโยบายฉุกเฉิน ที่ต้องให้นักเรียนได้เรียนรู้ต่อไปได้ ไม่ว่าภาวะโควิดจะเป็นไปในทางใดก็ตาม เรียนออนไลน์ การศึกษาในอนาคต                ในช่วงแรกของการ เรียนออนไลน์ บอกได้คำเดียวว่าวุ่นวายอย่างที่สุด โรงเรียนในเมืองก็นับว่ามีความพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงแบบนี้อยู่แล้ว แค่เสริมทุกอย่างให้เป็นระบบแบบเข้าที่เข้าทางก็ใช้งานได้ แถมหลายสถานศึกษาก็ให้นักเรียนเจออาจารย์พร้อมส่งงานแบบออนไลน์มาก่อนที่จะมีประกาศเสียอีก แต่พอออกมาต่างจังหวัดหน่อย ระบบก็ไม่พร้อม อุปกรณ์ก็ไม่พร้อม สะเทือนไปจนถึงพ่อแม่ผู้ปกครองก็ไม่พร้อมจ่ายเงินค่าอุปกรณ์เสริมให้ลูกๆ ด้วยเหมือนกัน                มันจึงเกิดเสียงแตกเป็นหลายกระแส ฝ่ายที่พร้อมกับการ เรียนออนไลน์ ก็มองว่าทันสมัยและสะดวกดี ฝ่ายที่ไม่พร้อมก็บ่นกันหนาหูว่าแนวคิดนี้สร้างภาระให้มาก จนท้ายที่สุดก็เหมือนว่าโครงการนี้จะไม่เป็นเอกฉันท์ ใครทำได้ก็ทำ ใครทำไม่ไหวก็ต้องชะลอการเล่าเรียนออกไป อย่างไรก็ตาม ถ้ามองอย่างเป็นกลาง ระบบการเรียนสมัยใหม่ก็ควรปรับเป็นออนไลน์ได้แล้ว ค่อยๆ เปลี่ยนก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเสียเลย                เพราะการ เรียนออนไลน์ จะช่วยให้เด็กๆ จัดตารางชีวิตของตัวเองได้ดีกว่า ยืดหยุ่นเวลาได้มากขึ้น แถมยังประหยัดงบประมาณในส่วนอื่นไปได้อีกมาก…

เรียนที่บ้าน ทำยังไง? ให้มีประสิทธิภาพ ไม่ให้เสียการเรียน

เรียนที่บ้าน ทำยังไง? ให้มีประสิทธิภาพ ไม่ให้เสียการเรียน

            ข้อดีของการ เรียนที่บ้าน ก็มีอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นความอิสระของช่วงเวลา เด็กๆ สามารถเลือกได้เองว่าพร้อมสำหรับการเรียนรู้เมื่อไร บรรยากาศไม่ก่อให้เกิดความตึงเครียด ส่งผลให้สมองทำงานได้ดีขึ้น และถ้าใครขยันหน่อย ก็สามารถเรียนล่วงหน้าเพื่อเก็บเนื้อหาไปก่อนได้เลย ไม่ต้องรอเพื่อนๆ เหมือนการเรียนในห้อง แต่เหรียญมีสองด้านเสมอ มีข้อดีก็ต้องมีข้อเสีย หลายคนเมื่อระบบปรับเปลี่ยนให้เรียนอยู่กับบ้าน ก็เกิดอาการขี้เกียจบ้าง เรียนไม่รู้เรื่องบ้าง ยิ่งนานวันประสิทธิภาพก็ลดน้อยลงเรื่อยๆ เคล็ดลับ เรียนที่บ้าน ให้มีประสิทธิภาพ                ซึ่งปัญหาทั้งหมดทั้งมวลก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ไม่ใช่แค่ เรียนที่บ้าน หรอก คนวัยทำงานที่อยู่ๆ ต้องเปลี่ยนมาทำงานจากที่บ้านก็มีความรู้สึกแบบนี้เหมือนกันหมด หน้าที่เราจึงต้องบังคับตัวเองให้ทำในสิ่งที่ควรทำ มากกว่าสิ่งที่อยากทำ ก่อนอื่นลองคิดดูว่า จะเปิดคอมเรียนเมื่อไรก็ได้ จะนั่งหรือนอนเรียนก็ยังได้ มันดีกว่าการนั่งเรียนตัวตรงอยู่ในห้องแล้ว ที่เหลือก็แค่เรียนและทำงานให้ครบเท่านั้นเอง                เรื่องบรรยากาศของที่บ้านสำคัญมาก ต้องจัดพื้นที่สำหรับ เรียนที่บ้าน ไว้เฉพาะ ควรมีความเป็นส่วนตัวและเงียบมากพอ หลีกเลี่ยงการนอนเรียนบนเตียง หรือนั่งในพื้นที่ที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายมากเกินไป พร้อมกับจัดตารางเรียนให้เป็นเวลา แน่นอนว่าเรามีอิสระในการเลือกช่วงเวลาได้เอง แต่ก็ไม่ใช่ว่านึกอยากเรียนก็เรียน ควรกำหนดให้ชัดเจนไปเลยว่าแต่ละวันจะเรียนตั้งแต่กี่โมงถึงกี่โมง                นอกจากนี้ก็ต้องมีการตั้งเป้าหมายเอาไว้ด้วยว่า…

เด็กซิ่ว ก็มีหัวใจ

ปรับทัศนคติ “เด็กซิ่ว” ไม่ใช่กลุ่มคนที่ต้องมี ตราบาปติดตัว

               นอกเหนือไปจากความตึงเครียดของเด็กมัธยมปลายที่ต้องช่วงชิงที่นั่งในรั้วมหาวิทยาลัยแล้ว ปัญหาของ เด็กซิ่ว ก็มีความวุ่นวายไม่แพ้กัน ต้องขออธิบายก่อนว่าเด็กกลุ่มนี้คือเด็กที่ได้เข้าเรียนเรียบร้อยแล้ว ผ่านไป 1 ปี พวกเขาเริ่มรู้สึกว่าคณะที่ตัวเองอยู่นั้นไม่ใช่ตัวตนของเขา จึงได้ทำการ “ซิ่ว” หรือลงสนามสอบใหม่เพื่อย้ายคณะ ในการสอบแข่งขันแต่ละปี จึงมีประเด็นถกเถียงกันมากมาย ว่าเด็กกลุ่มนี้มากินที่เด็กที่จบปีปัจจุบัน แถมยังได้เปรียบว่าในเรื่องของประสบการณ์ ทำความเข้าใจกันใหม่กับคำว่า เด็กซิ่ว                ทีนี้เมื่อกลุ่ม เด็กซิ่ว ได้เข้าคณะที่ชอบแล้ว เวลาอยู่กับเพื่อนร่วมรุ่น ตัวเองก็จะมีอายุมากกว่า เคยเรียนที่อื่นมาแล้ว บางครั้งจึงเข้ากับเพื่อนไม่ค่อยได้ ถึงเข้าได้ก็ไม่สนิทใจมากเท่ากับรุ่นราวคราวเดียวกัน หากเป็นคนที่จิตใจไม่เข้มแข้งพอ ก็จะมีภาวะตึงเครียด และอาจรุนแรงจนถึงซึมเศร้าได้ แม้ว่าตอนนี้จะมีมุมมองที่เปิดกว้างเกี่ยวกับเด็กย้ายที่เรียนกันบ้างแล้ว แต่ก็ยังมีการบูลลี่แฝงในสังคมอยู่ดี                เราจึงควรมาทำความเข้าใจกันใหม่ว่า เด็กซิ่ว ไม่ใช่คนที่ทำความผิดอะไรเลย แล้วก็ไม่ควรได้รับการตอบสนองจากสังคมในแบบที่แปลกแยกไปจากเพื่อนๆ ด้วย ในทางกลับกัน เราควรชื่นชมเด็กกลุ่มนี้ ที่กล้าเลือกในสิ่งที่ตัวเองชอบจริงๆ มากกว่า เพราะมันจะเป็นทักษะที่ติดตัวพวกเขาไปตลอดชีวิต ซึ่งผู้ใหญ่ทุกคนรู้ดีว่า การฝืนทำในสิ่งที่ไม่รักจนแก่ตาย มันทรมานขนาดไหน                ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ว่า ทำไม…

วิธีการเพิ่มศักยภาพแห่งการเรียนรู้ ด้วยเทคนิค Brain Based Learning

วิธีการเพิ่มศักยภาพแห่งการเรียนรู้ ด้วยเทคนิค Brain Based Learning

               พอพูดถึงเรื่องการศึกษาทีไร เด็กวัยเรียนส่วนใหญ่ก็มักจะรู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมาทุกที ไม่ใช่ว่าเด็กๆ ไม่สนใจใฝ่รู้ หรือเป็นคนขี้เกียจสันหลังยาว ต่อให้เป็นเด็กหลังห้องที่ถูกมองข้าม ก็มักจะมีนิสัยรักการเรียนรู้อยู่ในตัว นี่เป็นสิ่งที่คนในวงการการศึกษารู้ดี จึงมีการพัฒนาเทคนิคที่ชื่อว่า Brain Based Learning ขึ้นมา โดยมีเป้าหมายในการเสริมสร้างบรรยากาศที่กระตุ้นให้อยากเรียนรู้ และช่วยให้สมองทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพมากที่สุดด้วย เทคนิค Brain Based Learning การเรียนรู้อย่างมีความสุข                จากผลการวิจัยเทคนิค Brain Based Learning พบว่าเด็กทั้งหมดมีพัฒนาการในการเรียนรู้สูงกว่าเดิมถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ยิ่งไปกว่านั้น ผู้เรียนอยู่ในสภาวะที่มีความสุขอยู่เสมอ ไม่ตึงเครียด ไม่ซึมเศร้า ซึ่งถือเป็นนิมิตรหมายที่ดีมากในการปรับเปลี่ยนรูปแบบและวิธีการที่ครูใช้สอนนักเรียน เพราะมันจะได้ประโยชน์กันทุกฝ่าย แล้วเชื่ออย่างยิ่งเลยว่า เด็กๆ จะอยากมาเรียนกันมากขึ้น ไม่ต้องบังคับขู่เข็ญอย่างเช่นทุกวันนี้                วิธีการใช้เทคนิค Brain Based Learning ในชีวิตประจำวัน อันที่จริงควรเป็นการร่วมมือกันระหว่างครูและนักเรียน แต่ถ้าทางโรงเรียนไม่ได้เห็นความสำคัญ ตัวนักเรียนเองก็ปรับใช้เทคนิคนี้เป็นการส่วนตัวได้ โดยมันจะมีอยู่ 4…

งาน Open House อีกหนึ่งตัวช่วย ในการเลือกทางเดิน ของเด็กม.ปลาย

งาน Open House อีกหนึ่งตัวช่วย ในการเลือกทางเดิน ของเด็กม.ปลาย

               เมื่อระบบการศึกษาช่วยอะไรเราไม่ได้มากนัก เราก็ต้องช่วยเหลือตัวเองอย่างถึงที่สุด เพราะสุดท้ายแล้ว ก็มีแค่เราเองเท่านั้นที่ต้องรับผิดชอบชีวิตของตัวเอง สำหรับคนที่เลือกไม่ได้ หรือยังลังเลว่าจะเรียนต่ออะไรดี ให้หาเวลาไปร่วม งาน Open House ของมหาวิทยาลัยที่สนใจดูสักครั้ง แน่นอนว่าถ้าไม่ติดอะไรก็ควรไปดูบรรยากาศของมหาวิทยาลัยอื่นๆ ร่วมด้วย ยิ่งมีข้อมูลมากเท่าไรก็ยิ่งดีต่อเรามากเท่านั้น ร่วม งาน Open House มองหาทางเลือกในการศึกษาดีๆ                สำหรับน้องๆ ที่อยู่ต่างจังหวัดอันห่างไกล อาจจะไม่คุ้นเคยกับงานวิชาการภายใต้ชื่อ Open Houseมากมายนัก แต่ถ้ามีโอกาสก็แนะนำว่าควรมาเช่นกัน ยังไงก็คุ้ม เพราะงานนี้ถือเป็นการตีแผ่ให้เด็กมัธยมได้เห็นว่า คณะที่ตัวเองสนใจนั้น เป็นไปตามที่คิดและจินตนาการเอาไว้หรือไม่ เราจะได้เห็นบรรยากาศการเรียนการสอน แม้มันจะไม่เหมือนวันเรียนจริงแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้เห็นอะไรเลย แล้วก็ยังได้ฟังประสบการณ์จากคนที่เรียนคณะนั้นจริงๆ อีกด้วย                ทุกสิ่งที่ได้จาก งาน Open House จะช่วยให้เด็กๆ พอเข้าใจว่าคณะและอาชีพที่ตัวเองใฝ่ฝันนั้นมันใช่หรือไม่ เพราะบางที่ก็จะมีรุ่นพี่ที่เรียนจบไปแล้ว กลับมาเล่าประสบการณ์ทำงานให้กับเด็กๆ ฟังกันด้วย ทำให้มองข้ามช็อตไปได้อีกว่า ชีวิตวัยทำงานมันค่อนข้างต่างจากในรั้วมหาวิทยาลัย…

การรัฐประหาร ในประเทศไทย

การเมือง เป็นเรื่องของทุกคน! แต่ทำไมประเทศไทยไม่ควรทำ “การรัฐประหาร”

สวัสดีผู้อ่านที่น่ารักทุกๆท่านทุกๆคน  ในบทความนี้จะเป็นการนำเสนอมากกว่าที่จะโจมตีเพื่อสร้างความขัดแย้งใดๆ แน่นอนว่าการเมืองไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง  แต่มันเป็นเรื่องของทุกคนที่ต้องสร้างความตระหนัก  และให้ทุกคนตระหนักเรื่องการทำรัฐประหาร  ซึ่งเคยได้ยินมาบ้างแล้วกับการศึกษาไทย  จากที่ศึกษามาหลายแหล่งข่าวรวมทั้งสถานการณ์ปัจจุบันจะขอแยกเป็นข้อๆ ว่าทำไมประเทศไทย ไม่ควรทำ การรัฐประหาร เหตุผลที่ ประเทศไทยไม่ควรทำ การรัฐประหาร 1.ความเหลื่อมล้ำทางสังคมจะหนาขึ้น ประเทศไทยยังไม่สามารถแก้ปัญหาความยากจนของประชาชนได้ในระยะยาว  จากการศึกษาในแต่ละแหล่งข่าว  พบว่าการทำรัฐประหาร นำมาซึ่งการคอรัปชั่นเพิ่มขึ้น  มิใช่แค่เรื่องการเมืองเท่านั้น  แต่การช่วยเหลือคนที่เข้าถึงได้ยาก  การศึกษาของเยาวชนที่ควรจะได้รับและเนื้อหาที่ทันสมัยจะเข้าไม่ถึง  รวมทั้งเงินช่วยเหลือเยียวยาจะไม่ถึงมือจนต้องระดมทุนบริจาคกันมากขึ้น  ซึ่งภาระหน้าที่นั้นควรเป็นหน้าที่ของภาครัฐที่ควรรับผิดชอบมากกว่ารับผิดชอบกันเอง 2.การศึกษาในไทยจะถอยหลังลงคลองมากขึ้น จะเห็นได้ว่าประเทศไทยของเรามีค่าเฉลี่ยการศึกษาในอันดับที่ไม่ดีเท่าใดนัก  การที่ทำ การรัฐประหาร  ทำให้การศึกษาไทยไม่ได้รับการใส่ใจเท่าที่ควร  (พูดง่ายๆ คือการศึกษาไทยล้าหลัง  ไม่สามารถพัฒนาประเทศชาติให้ดีขึ้น)  เนื้อหาการเรียนการสอนไม่ทันสมัย  ขาดการอัปเดตความรู้เนื้อหาที่เหมาะสมในแต่ละช่วงวัยและช่วงปี  และขาดจิตวิทยาในเด็กที่เหมาะสม  จนทำให้สังคมขาดความตระหนักในเรื่องความรู้ต่อเด็กและเยาวชน  จริยธรรมที่ควรรับมือในยุคการเปลี่ยนแปลง  รวมทั้งเน้นเรียนเพื่อไปสอบมากกว่าเรียนเพื่อเสริมทักษะชีวิต  ทำให้เด็กได้รับการศึกษาแบบขาดๆ เกินๆ ไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างเต็มที่นัก 3.ตลาดหุ้นติดลบ หากใครเข้าใจการศึกษาในหลักการเศรษฐศาสตร์  การที่ทำ การรัฐประหาร ส่งผลต่อตลาดหุ้นติดลบ  ซึ่งเป็นภาพรวมที่ไม่ดีนัก  นั่นแปลว่าเศรษฐกิจไทยจะตกต่ำลง  และจะรุนแรงกว่าวิกฤตต้มยำกุ้งในปี  2540  ผลของการทำรัฐประหารนั้นทำให้ความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนน้อยลง …

เด็กสายศิลป์ ต้องปรับความคิด ยังไง? เมื่อถูกเปรียบเทียบ

เด็กสายศิลป์ ต้องปรับความคิดยังไง? เมื่อถูกเปรียบเทียบ

               ปัญหาเรื่องการเปรียบเทียบเด็กสายวิทย์กับ เด็กสายศิลป์ นั้นมีมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าเหา ส่วนหนึ่งก็คงเป็นเพราะระบบชนชั้นวรรณะของกลุ่มอาชีพในสังคม หากได้เป็นหมอ วิศวกร นักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ ก็จะได้รับการยกย่องว่าเป็นคนหัวดี มีความสามารถมาก กว่าจะสอบเข้าและกว่าจะเรียนจบมาได้ก็ไม่ธรรมดา และที่ร้ายไปกว่านั้น ความเชื่อเล็กๆ ที่แฝงอยู่ก็คือ อาชีพพวกนี้ทำเงินได้มากกว่าอาชีพสายศิลป์โดยเฉลี่ยนั่นเอง เด็กสายศิลป์ ต้องทำอย่างไรเมื่อ ถูกเปรียบเทียบ                เมื่อเป็นเช่นนี้ เด็กสายศิลป์ จึงถูกเปรียบเทียบตั้งแต่เด็กยันโต ตอนขึ้นมัธยมปลายก็จะมีแต่คนบอกว่า หัวไม่ดีแน่ๆ ถึงต้องเลือกเรียนสายศิลป์ เรียนทางนี้จนไปทางเลือกน้อย จะไปเรียนอะไรต่อได้ แล้วถ้าต่อยอดไปถึงการประกอบอาชีพ จะมีการงานที่มั่นคงได้อย่างไร เหมือนถูกตัดสินทั้งชีวิตตั้งแต่ก้าวแรกที่เริ่มเรียน จุดที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือ คนที่เปรียบเทียบมักจะเป็นผู้ใหญ่ที่ใช้บรรทัดฐานตัวเองตัดสินเสียด้วย                ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็คือ เด็กสายศิลป์ หลายคนจะรู้สึกไม่ดี แรกๆ อาจจะไม่ได้คิดอะไร แต่นานไปมันจะซึบซับจนเขาอาจหลงคิดว่าเขาไร้ศักยภาพจริงๆ แต่ในเมื่อเราเปลี่ยนใครในสังคมไม่ได้เลย และเปลี่ยนตัวเองได้ง่ายกว่า จึงต้องหันมาดูแลความคิดของตัวเองให้เป็นไปในเชิงบวกเสมอ ด้วยการเข้าใจถึงคุณค่าในสิ่งที่เราเลือก เลือกเพราะความชอบ เลือกเพราะเราถนัดในสิ่งนี้ จะเป็นสายศิลป์หรือสายวิทย์ มันเทียบไม่ได้ว่าใครเก่งกว่า                เด็กสายศิลป์…

การอ่านหนังสือ ขึ้นอยู่กับความชอบ และความสนใจ ของแต่ละคน

การอ่านหนังสือ ขึ้นอยู่กับความชอบ และความสนใจ ของแต่ละคน

การอ่านหนังสือ เป็นสิ่งที่เราต้องทำกันตั้งแต่ตอนที่เรายังเรียนอยู่ในโรงเรียน ซึ่งช่วงเวลาที่เราอ่านหนังสือมากที่สุดก็จะเป็นช่วงเวลาก่อนสอบเพียงแค่ 1-2 สัปดาห์ เพื่อที่จะเตรียมตัวกับการสอบที่จะมาถึงการทบทวนเนื้อหาต่างๆในหนังสือถือเป็นสิ่งที่จำเป็น แต่หลังจากที่เราเรียนหนังสือจบมาแล้วไม่ว่าจะเป็นในระดับโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย หลังจากนั้นเชื่อว่าหลายๆคนร้านอ่านหนังสือน้อยลงอย่างแน่นอน การอ่านหนังสือ จะยากหรือง่าย อยู่ที่ความชอบ การอ่านหนังสือ เป็นเรื่องยากสำหรับใครหลายๆคนจริงๆนะสำหรับผู้เขียนก็เช่นเดียวกันสมัยที่เรียนหนังสืออยู่ การอ่านหนังสือนั้นเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะเกิดขึ้นเพราะว่าเพียงแค่หยิบหนังสือขึ้นมาเปิดหนังสืออ่านเพียงแค่ 2-3 หน้าก็เหมือนยานอนหลับ พอเริ่มอ่านไปได้เพียงแค่สักพักเดียวหนังสือก็ตกใส่หัวซะแล้ว เรียกแล้วว่าอ่านไม่นานก็ง่วงเอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า และเหตุการณ์ที่ได้ยกตัวอย่างมาข้างต้นนี้ก็คงจะเกิดกับใครหลายคนเช่นเดียวกัน ในประเทศไทยเคยมีการทำวิจัยมาแล้วว่าคนไทยอ่านหนังสือจำนวนน้อยมาก ยิ่งในยุคปัจจุบันที่มีการนำโซเชียลมีเดียเข้ามาในประเทศทำให้การอ่านหนังสือยิ่งน้อยลงไปอีก จริง ๆ แล้วการอ่านหนังสือไม่ใช่เรื่องที่ยากมากมายอะไร เพียงแค่เราได้อ่านหนังสือที่เราไม่ได้ชอบเพียงแค่นั้นเอง สมัยเรียนอยู่คงมีเพื่อนๆของผู้อ่านหลายคนอ่านหนังสือนิยายเป็นเล่ม ๆ โดยที่ไม่รู้สึกเบื่อ พอถึงเวลาว่างก็จะหยิบหนังสือนิยายขึ้นมาอ่าน ใช่แล้วครับสิ่งที่ผู้เขียนกำลังจะบอกก็คือการอ่านหนังสือเรียนนั้นเป็นสิ่งที่นักเรียนไม่ชอบแต่ถ้านักเรียนได้มาอ่านหนังสือที่ตัวเองชอบอย่างหนังสือนิยายก็จะสามารถอ่านจบภายในระยะเวลาอันรวดเร็วแถมยังจำเนื้อหาได้อย่างแม่นยำอีกด้วย สิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่เรียกว่าความสนใจของแต่ละคน หากว่าสนใจในสิ่งไหนสิ่งนั้นก็จะเป็นสิ่งที่ทำให้จดจำรายละเอียดได้ดียิ่งขึ้น  พอผู้เขียนได้มาเขียนบทความหรือว่า การอ่านหนังสือ นั้นไม่ใช่เรื่องยากแต่เป็นเรื่องของความชอบมากกว่า หากว่าได้อ่านหนังสือเล่มที่ชอบแม้หนังสือจะยาวขนาดไหนก็อ่านมันทุกหน้า แต่เมื่อเป็นหนังสือที่ไม่ได้ชอบแค่บทนำก็ยังไม่อยากอ่านเลย  ย้อนกลับสมัยที่เรียนหนังสือสาเหตุที่เราไม่ได้ชอบอ่านหนังสือเรียนก็คงจะเป็นเพราะว่ามันไม่ได้มีความน่าสนใจในหนังสือเรียนมากเท่าไหร่ ถ้าหากว่ามีการปรับเปลี่ยนให้มีเนื้อหาที่ได้รับความสนใจจากนักเรียนแล้วการอ่านหนังสือก็คงจะเป็นเรื่องที่น่าสนุกน่าดู  ติดตามบทความ การศีกษา เคล็ดลับการอ่านหนังสือ การสอบ ข่าวการศึกษา ได้ที่นี้ แนะนำ เทคนิคการอ่านหนังสือ อ่านยังไงให้สอบผ่านฉลุยทุกวิชา

เมื่อ “อาบน้ำร้อนมาก่อน” ไม่ใช่ตัวชี้วัดเสมอไป ในปัจจุบัน!

เมื่อ “อาบน้ำร้อนมาก่อน” ไม่ใช่ตัวชี้วัดเสมอไป ในปัจจุบัน!

หลายคนได้ยินคำว่า ต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่เพราะ อาบน้ำร้อนมาก่อน แน่นอนว่าก็ต้องยึดหลักเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตให้ถูกต้องตามครรลองครองธรรม  จนในปัจจุบันได้เห็นแนวคิดสมัยใหม่อย่างชัดเจน  ไม่ว่าจะเยาวชน  หรือคนที่อยู่ในสังคมไม่ว่าจะเป็น Generation ใดก็ตาม  ที่ยังเป็นข้อถกเถียงในโลก  Pantip  และ Social  Media  ซึ่งเป็นแนวคิดที่น่านำเป็นแนวการศึกษาใหม่เลยทีเดียว ความหมายของคำว่า อาบน้ำร้อนมาก่อน คืออะไร จะเห็นได้ว่าจากการศึกษา คำว่า  อาบน้ำร้อนมาก่อน แปลว่า เกิดก่อนผ่านประสบการณ์มาก่อน  แน่นอนว่าการนำประสบการณ์จากผู้ใหญ่มาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต  ก็เป็นเรื่องที่ดีและน่าเป็นสิ่งที่เรียนรู้  แต่ยังมีข้อถกเถียงตามสื่อต่างๆ  พบว่าการอาบน้ำร้อนไม่ได้แปลว่าทุกคนจะรู้ผิดชอบชั่วดีกันทุกคน  และใช้ไม่ได้กับโลกทุกสมัยเท่าใดนัก ทั้งนี้ อาบน้ำร้อนมาก่อนอาจจะไม่ได้ถูกต้อง  100%  เท่าใดนัก  แต่ต้องดูในมุมมองทางจิตวิทยา  ซึ่งจะมองในเรื่องโครงสร้างของบุคลิกภาพในอันดับแรก  ซึ่งมีอิทธิพลมากในหลายๆ Generation อย่างมาก  ไม่ว่าจะเกิดในช่วงยุคไหนก็ตาม  ซึ่งจะแบ่งเป็นข้อๆ ว่า อิด (Id) เป็นแรงขับทางกายในด้านต่างๆ  ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด  จะเรียกว่าสันดานดิบก็ไม่เชิงนัก  จากการศึกษาระบุว่าอิดเกิดจากภาวะไร้สำนึก  มีได้ทั้งกิเลส  ตัณหา  โทสะ  โลภะ  และโมหะ …