น้อง ๆ นักเรียนนักศึกษาที่ต้องเรียนหนังสือวันละหลาย ๆ ชั่วโมง จนทำให้รู้สึกเหนื่อยล้า หรือมีอาการสมองล้า ซึ่งเป็นสาเหตุให้ การเรียนในห้อง การอ่านหนังสือ และการเรียนรู้ทั่วไปด้อยประสิทธิภาพลง ดังนั้นหากน้อง ๆ รู้สึกว่าตนเองมีภาวะเหล่านี้ ก็อาจเป็นไปได้ว่านี่คือสัญญาณเตือนจากสมองว่ากำลังประสบปัญหา ภาวะสมองล้า และต้องการบำรุงโดยด่วนแล้ว สัญญาณเตือนความเสี่ยง ภาวะสมองล้า -จะมีปัญหาเรื่องภาษา มักจะใช้คำพูดไม่ถูก เช่น กว่าจะเรียกสิ่งของนั้นได้ ก็ต้องมีการใบ้คำกันวุ่นวาย –ภาวะสมองล้าอีกอย่างก็คือ จะไม่ค่อยรู้เรื่องของเวลา เช่น ไม่รู้ว่าตอนนี้เช้า หรือค่ำแล้ว -ความจำบางเรื่องขาดหายไป หรือสูญเสียความจำ ซึ่งมีผลต่อการเรียนและการใช้ชีวิต -บุคลิกภาพจะเปลี่ยนแปลงไป บ้าง เช่นจากคนที่สดใสก็จะกลายเป็นคนเงียบขรึมหรือเครียดง่าย -ความคิดตัน ขาดความสร้างสรรค์ แม้ว่าเมื่อก่อนจะเป็นคนที่ครีเอตมากก็ตาม -การตัดสินใจไม่ดี มักตัดสินใจผิดพลาดบ่อย ๆ -เด็กที่มีเกิดภาวะสมองล้าประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลง จะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องนามธรรม ซึ่งจะเป็นปัญหาในการเล่าเรียนโดยเฉพาะวิชาที่เกี่ยวกับการคิดวิเคราะห์ -อารมณ์จะขึ้น ๆ ลง ๆ เสมอ…
การอ่านหนังสือให้เก่ง ไม่ใช่ว่าแค่อ่านเฉย ๆ ไปเรื่อย ๆ เท่านั้น แต่คุณต้องรู้จักเรียนรู้เทคนิคการอ่านหนังสือด้วย เพื่อให้อ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะหนังสือเรียน ตำรา หนังสืออ่านเล่น หรือสารต่าง ๆ คุณจึงจะสามารถรับข้อมูลได้มาก จดจำได้อย่างแม่นยำ และสามารถนำข้อมูลที่ได้ไปใช้ประโยชน์ได้เต็มที่ ซึ่ง เทคนิคอ่านหนังสือขั้นเทพ นั้นก็ไม่ได้ยากเย็นเลย เพียงแต่ต้องนำไปใช้อย่างจริงจังจึงจะเห็นผลชัดเจน แนะนำ เทคนิคอ่านหนังสือขั้นเทพ เทคนิคอ่านหนังสือขั้นเทพชวนคนอื่นมาอ่านด้วย จะเป็นนักอ่านขั้นเทพได้ คุณก็ควรชักชวนให้คนรอบข้างหันมาชอบการอ่านหนังสืออย่างคุณด้วย เพื่อช่วยให้สิ่งแวดล้อมรอบตัวคุณ เต็มไปด้วยคนที่รักการอ่าน เช่น -ควรชวนพ่อแม่พี่น้อง หรือคนในครอบครัวให้หันมาอ่านหนังสือกันด้วย ยิ่งถ้าอ่านได้ทั้งบ้านก็จะทำให้เกิดบรรยากาศการอ่านที่ดี มีแต่จะชักชวนกันอ่าน และให้กำลังใจกันจนทำให้อยากอ่านหนังสือมากขึ้น นอกจากนี้ยังถือเป็นกิจกรรมสำหรับครอบครัวที่ดีด้วย -ชวนเพื่อให้อ่านหนังสือด้วย ได้ความรู้ ได้ฝึกนิสัยรักการอ่าน และดีกว่าไปทำเรื่องไม่ดี -ชวนคนที่อ่านหนังสือไม่เก่ง คุณจะได้ช่วยสอนเขา และช่วยฝึกฝนทักษะการอธิบายไปด้วย เทคนิคอ่านหนังสือขั้นเทพต้องรู้จักอ่านในใจ นักอ่านขั้นเทพควรฝึกการอ่านในใจ แต่ต้องไม่ทำปากขมุบขมิบ ไม่ใช้นิ้วหรือปากกาจิ้มไปที่ตัวหนังสือทีละคำแบบเด็ก ๆ ซึ่งการแบบเด็กที่ต้องห้ามนี้ จะทำให้เกิดผลเสียคือ ทำให้ใจจดจ่อกับตัวหนังสือมากกว่าสารหรือข้อมูลในหนังสือ เทคนิคอ่านหนังสือขั้นเทพอย่าอ่านทุกคำ…
นักเรียนนักศึกษาที่มีอาการเครียดจากการเรียนการสอบ ต้องอ่านหนังสือจนดึกดื่น หรือมีอาการเหนื่อยล้าเพราะต้องเรียนตลอดทั้งวัน สมองของพวกเขาก็จะไม่ปลอดโปร่ง เรียนรู้ได้ช้า และขาดสมาธิได้ง่าย ดังนั้นการลองบริหารสมองด้วย ท่าบริหารสมอง ที่ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะ ก็จะช่วยให้การเคลื่อนไหวร่างกายในท่าต่าง ๆ กระตุ้นให้สมองทำงานได้ดี ลดความตึงเครียด และทำให้การเรียนรู้ฉับไวมากขึ้น รวม ท่าบริหารสมอง ลดความเครียด สำหรับเด็กนักเรียน นักศึกษา ท่าบริหารสมองสำหรับเด็กวัยเรียน : ท่าลูบคอ ประโยชน์เป็นท่าบริหารที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของสมอง และกระแสประสาท และกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้มากขึ้นวิธีบริหาร -เริ่มจากอยู่ในท่านั่ง -นำมือข้างขวามาวางที่ลำคอด้านหน้า โดยใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้วางตรงกระดูกคอ -จากนั้นให้ลูบเบา ๆ ลงมา -มือข้างซ้ายให้วางทาบตรงบริเวณสะดือ -สำหรับส่วนใบหน้า ให้หันหน้าตรง แต่ใช้สายตากวาดไปมา โดยเริ่มกวาดจากทางซ้ายไปทางขวา และกวาดสายตาจากข้างล่างหรือพื้น แล้วขึ้นไปที่ข้างบนหรือเพดาน -จากนั้นให้เปลี่ยนมือจับ คือให้เปลี่ยนมือข้างซ้ายมาวางที่ลำคอด้านหน้า และให้ใช้มือขวามาวางที่สะดือบ้าง แล้วทำเหมือนเดิม ท่าบริหารสมองสำหรับนักเรียนนักศึกษา : ท่ามองมือ ประโยชน์ เป็นท่าบริหารที่ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของสมองได้ดี วิธีบริหาร -เริ่มจากอยู่ในท่านั่ง -ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาแล้วกำมือ…
เด็กนักเรียนนักศึกษาที่ต้องอ่านหนังสือนาน ๆ ทำให้หลายๆ คนมักจะมีอาการหลังงอ ไหล่ห่อ และมีอาการปวดหลัง ปวดไหล่เป็นประจำ เนื่องจากต้องนั่งท่าเดิมนาน ๆ หลายชั่วโมง และด้วยความที่การอ่านหนังสือเรียนทำให้เครียดมาก ร่างกายเด็กจึงตึงเกร็งโดยไม่รู้ตัว ซึ่ง ท่าบริหารลดอาการปวด ที่นำมาแนะนำนี้จะช่วยบรรเทาอาการปวดให้เด็กที่อ่านหนังสือนาน ๆ โดยจะเน้นช่วยให้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อหลัง คลายอาการปวดหลัง และยังทำให้กระดูกหลังไม่เกิดแรงกดดันมากด้วย แนะนำ ท่าบริหารลดอาการปวด เหมาะสำหรับเด็ก ท่าบริหารลดอาการปวดศีรษะสำหรับนักเรียน นักศึกษา -เริ่มจากท่ายืนตรง หรือจะนั่งพื้นหรือเก้าอี้ก็ได้ -นำมือซ้ายมาจับที่ศีรษะฝั่งขวาด้านบน ตรงช่วงกระหม่อม -จากนั้นใช้มือข้างซ้ายนั้นออกแรงบิดศีรษะมาทางด้านซ้ายเบาๆ อย่าเกร็งศีรษะ พร้อมกับค้างไว้ นับ 1-20 จึงกลับสู่ท่าเดิม -จากนั้นเปลี่ยนมาใช้มือข้างขวาจับที่ศีรษะฝั่งซ้ายด้านบน แล้วทำเช่นเดิม ท่าบริหารลดอาการปวดไหล่สำหรับเด็กวัยเรียน –เริ่มจากยืนตรง หรือนั่งเก้าอี้ก็ได้ -จากนั้นเอามือไพล่หลัง โดยให้ใช้มือขวาจับที่ข้อมือซ้าย -แล้วออกแรงที่มือขวา พยายามดึงมือซ้ายแรง จนรู้สึกว่าบ่าและไหล่ตึง -ค้างท่านี้ไว้สัก 15 วินาที -จากนั้นให้เปลี่ยนเป็นใช้มือซ้ายจับที่ข้อมือขวา แล้วทำเช่นเดิมอีก ท่าบริหารลดอาการปวดที่หลังสำหรับนักเรียน…
ดร. พอล เดนนิสัน เป็นนักประสาทวิทยาชาวอเมริกัน ผู้คิดค้นท่าบริหารสมอง หรือที่เรียกว่า Brain Gym ขึ้น เพื่อให้การออกกำลังกายท่าต่าง ๆ หรือการเคลื่อนไหว ช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองให้ทำงานดีขึ้น ทำให้การเรียนรู้ดีจึงเหมาะกับเด็กวัยเรียน นอกจากนี้ยังเป็นท่าที่ช่วยให้คลายเครียด และมีสมาธิมากขึ้นด้วย Brain Gym ท่าบริหารสมอง ที่ดีที่สุด ท่าบริหารสมองสำหรับเด็กวัยเรียน : ท่าหมุนมือ ประโยชน์ของท่าบริหารสมอง Brain Gymท่าบริหารสมอง ท่าหมุนมือ เป็นท่ากายบริหารที่ช่วยให้การทำงานของสมองทั้งซีกขวาและซีกซ้าย ถ่ายโยงข้อมูลกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น วิธีบริหาร -ให้เริ่มจากท่ายืน ปลายเท้าห่างกันพอประมาณ -ยื่นแขนทั้งสองไปด้านหน้าให้ขนานกันและเหยียดตรง -จากนั้นให้กำหมัด และคว่ำหมัดลง -เริ่มหมุนหมัดเป็นวงกลม โดยหมุนในทิศทางเข้าหาตรงกลาง ก็จะเหมือนกับการวาดวงกลม 2 อันมาต่อกันจนกลายเป็นเลข 8 ท่าบริหารสมองสำหรับเด็กนักเรียนนักศึกษา : ท่านั่งไขว่ห้าง ประโยชน์ของท่าบริหารสมอง Brain Gymท่าบริหารสมอง ท่านั่งไขว่ห้าง เป็นท่าการบริหารที่จะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของสมองหน้า และสมองส่วนหลัง…
เด็กในวัยเรียนควรออกกำลังกายด้วยการเล่นกีฬา โดยเฉพาะกีฬา ปิงปอง ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นสุดยอดแห่งกีฬาที่ช่วยพัฒนาสมอง แม้แต่คุณหมอก็ยังแนะนำให้เด็ก ๆ หันมาเล่นปิงปองเพื่อช่วยส่งเสริมการเรียนทำให้ทุกวันนี้เด็กทั่วโลกต่างสนใจหันมาเล่นปิงปอง ที่ช่วยพัฒนาศักยภาพทางร่างกาย จิตใจ และที่สำคัญคือเสริมส่งประสิทธิการทำงานของสมองอย่างแท้จริง คุณหมอ แนะนำ ให้เด็กเล่น ปิงปอง เพื่อพัฒนาสมอง การเล่นปิงปองช่วยพัฒนาศักยภาพสมอง ซึ่งเรื่องนี้คุณหมอเดเนียล จี. เอเมน ผู้เขียนหนังสือ “Making a Good Great “ (เป็นหนังสือแนะนำวิธีที่ทำให้มีสุขภาพดีโดยเน้นเรื่องการดูแลตนเอง) ท่านยังได้กล่าวว่า การออกกำลังกายถือเป็นเรื่องสำคัญมาก โดยเฉพาะกับสมอง เพราะการออกกำลังกายจะช่วยให้นิวตรอนในสมองมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น และสมองก็จะทำงานได้ดีไม่มีเสื่อม ที่น่าสนใจมากคือท่านกล่าวว่า การเล่นปิงปองเป็นการออกกำลังกายสำหรับสมองที่ดีเยี่ยม ซึ่งการเล่นปิงปอง หรือที่ฝรั่งเรียกว่า Table Tennis ผู้เล่นจะได้ออกกำลังกายเกือบทุกส่วน ทั้งแขน ขา ช่วงลำตัว สามารถใช้ร่างกายได้ทั้งช่วงบนและล่างอย่างเต็มที่ สามารถเรียกเหงื่อได้ดีมาก เหมือนกับการออกกำลังกายแบบแอโรบิก และที่พิเศษอีกอย่างก็คือ การเล่นปิงปองยังช่วยฝึกสมองให้ฉับไวเสมอ เพราะจะต้องสอดประสานกันอย่างดีทั้งสายตา และมือ นอกจากนี้ยังต้องใช้สมองในการวางแผนรุกรับอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งยังต้องแก้ไขสถานการณ์อยู่ตลอด ซึ่งทักษะนี้เหมาะมากสำหรับการเรียนในระดับสูง…
อย่าเพิ่งตกใจว่า ห้องเรียนกลับด้าน เป็นการเรียนในห้องเรียนเอียงๆ หรือกลับด้านแบบเอาขาชี้ฟ้า… แต่เป็นการเรียนการสอนแบบใหม่ที่ปฏิวัติการศึกษาและความเชื่อเดิมๆ ของทั้งครูและนักเรียน ซึ่งทางอเมริกาเขาวิจัยมาแล้วว่าทำให้นักเรียนมีผลการเรียนดีขึ้นอย่างชัดเจน มาดูกันว่าคืออะไร ห้องเรียนกลับด้าน คืออะไร ดีอย่างไร ห้องเรียนแบบเก่า สิ่งที่เกิดในห้องเรียนจะมีการเรียนการสอนปกติ บางโรงเรียนที่มีเทคโนโลยีหน่อยก็จะให้นักเรียนศึกษาหาความรู้ผ่านทางอินเทอร์เน็ต และเมื่อนักเรียนกลับบ้านแล้วก็จะมีการบ้านติดตัวไปให้ทำเพื่อฝึกฝน ห้องเรียนกลับด้านหรือที่เรียกว่า Flipped Classroom มีรายละเอียดที่น่าศึกษา ดังนี้ สิ่งที่เกิดในห้องเรียน คือ จัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อการเรียนรู้ (เป็นการจัดกิจกรรมหรือให้ทำงานที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในวิดีโอที่ให้นักเรียนดู โดยครูมีหน้าที่ชี้แนะแต่ไม่ชี้นำ เรียกว่าเป็นผู้ช่วยเหลือในยามที่เด็กติดขัดและกระตุ้นให้สามารถคิดด้วยตัวเอง) ที่สำคัญการเรียนการสอนแบบใหม่นี้ยังเปิดโอกาสให้นักเรียนนำการบ้านมาทำได้ ซึ่งการทำการบ้านในห้องเรียนมีข้อดีหลายประการ ได้แก่ 1. ช่วยลดปัญหาการลอกการบ้านเพื่อนในทุกเช้า หากเด็กบางคนไม่สามารถทำเองได้ 2. เด็กสามารถปรึกษาเพื่อน นั่งทำการบ้านกันเป็นกลุ่มๆ ได้ 3. เด็กสามารถสอบถามการบ้านจากครูผู้สอนเพื่อความกระจ่าง 4. เด็กมีเวลาส่วนตัวมากขึ้นเมื่อกลับบ้านแล้ว 5. เด็กเรียนอย่างมีความสุขเพราะไม่มีการบ้านต้องทำที่บ้าน และการทำการบ้านที่ห้องเรียนก็ไม่ต่างจากการทำกิจกรรมสนุกๆ กับเพื่อน สิ่งที่เกิดนอกห้องเรียน สิ่งที่เกิดนอกห้องเรียน (นอกเวลาเรียน) ของห้องเรียนกลับด้าน คือ จัดให้นักเรียนศึกษาหาความรู้ผ่านทางอินเทอร์เน็ต …
ทำความเข้าใจกับทฤษฎีหมวก 6 ใบภายใน 1 นาที ทฤษฎีหมวก 6 ใบ ก็คือการฝึกคิดอย่างเป็นระบบ รอบด้าน และครอบคลุม โดยใช้หมวกสมมติหรือหมวกจริง 6 ใบ 6 สีเป็นอุปกรณ์ ซึ่งหมวกแต่ละใบคือตัวแทนของการคิดด้วยมุมมองต่างๆ เรียนรู้ให้เข้าใจ ทฤษฎีหมวก 6 ใบ หมวกแต่ละสีแตกต่างกันอย่างไร? – หมวกสีขาว คือตัวแทนของการคิดในมุมมองของข้อมูลหรือข้อเท็จจริงเบื้องต้น (ตัวเลข ผลพิสูจน์) โดยไม่มีการแสดงความรู้สึกหรือความคิดเห็นลงไป ซึ่งผู้ที่มีความคิดโน้มไปทางหมวกสีขาวจะเชื่อสิ่งใดก็ต่อเมื่อมีการพิสูจน์แล้ว – หมวกสีแดง คือตัวแทนของการคิดในมุมมองของอารมณ์ความรู้สึกล้วนๆ โดยไม่ต้องมีเหตุผลมารองรับ เรียกว่าชอบก็บอกชอบกันตรงๆ สำหรับผู้ที่มีความคิดโน้มไปทางหมวกสีแดงจะมีความชัดเจนในตัวเองและกล้าแสดงออก – หมวกสีดำ คือตัวแทนของการคิดในมุมมองของเหตุและผลล้วนๆ บอกข้อดีและข้อเสียต่างๆ ที่คิดได้รวมถึงอุปสรรคที่อาจมี ซึ่งผู้ที่มีความคิดโน้มไปทางหมวกสีดำจะมีความรอบคอบและระมัดระวังสูง – หมวกสีเหลือง คือตัวแทนของการคิดในมุมมองที่เป็นบวก เป็นการเล็งเห็นข้อมูลเชิงบวก ประโยชน์ ข้อดี หรือจุดเด่นที่มีเพื่อนำไปสู่การพัฒนา และสำหรับผู้ที่มีความคิดโน้มไปทางหมวกเหลืองจะมีความสามารถในการต่อยอด – …