15 ค่ำ เดือน 12 คือ “วันลอยกระทง” ตามประเพณีไทย ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อถึงค่ำคืนนี้ไม่ว่าใคร ๆ ก็จะต้องออกนอกบ้าน เพื่อไปลอยกระทงที่แม่น้ำ คลอง บึง หรือสถานที่ที่จัดให้มีการลอยกระทง ซึ่งในมุมของเด็กวัยรุ่นที่มีความรักในวัยเรียน เทศกาลสำคัญนี้ย่อมเป็นอีกวันหนึ่งที่คู่รักวัยรุ่นจะสร้างความทรงจำดี ๆ ร่วมกัน แต่ขณะเดียวกันเทศกาลดังกล่าวยังถูกขนานนามว่าเป็นวันเปิดบริสุทธิ์ของวัยรุ่นอีกด้วย ฉะนั้นบทความนี้จะมา หาเหตุผล ว่าทำไม วันลอยกระทง จึงกลายเป็นวัน เปิดบริสุทธิ์ของวัยรุ่น สาเหตุ วันลอยกระทง วันเปิดบริสุทธิ์ของวัยรุ่น เหตุผลข้อแรก วันลอยกระทง เป็นวันที่สามารถออกไปเที่ยวได้แบบอิสระมากที่สุด เพราะหลายครั้งถ้าเป็นวันปกติที่ต้องขออนุญาตพ่อแม่ไปเที่ยว เช่น วันเกิดเพื่อน หรือล้อมวงดื่มสุรา อาจจะขออนุญาตได้ยาก แต่หากเป็น วันลอยกระทง ผู้ปกครองก็คงจะหาเหตุผลมาห้ามได้ยาก เพราะ 1 ปี เทศกาลนี้ก็มีเพียงครั้งเดียว และแน่นอนว่าหากตั้งใจหรืออัดอั้นเรื่องอย่างว่ามานานแล้วละก็ วันนี้เป็นโอกาสเหมาะที่สุดสำหรับวัยรุ่นในการเผด็จศึกให้จงได้ เหตุผลข้อที่สอง การออกไปลอยกระทงสถานการณ์บังคับต้องไปตอนกลางคืน ซึ่งเมื่อลอยเสร็จแล้ว วัยรุ่นคู่รักก็อาจไปดื่มกินกันต่อ แต่หลังจากนั้นเมื่อเลยเที่ยงคืนไปแล้ว…
เคยเจอปัญหานี้กันบ้างไหม เตรียมตัวมาอย่างดี เวลาสอบก็ตั้งใจทำ ข้อสอบ อย่างสุดความสามารถ ข้อไหนคิดออกก็ลงมือแก้โจทย์นั้นก่อน ข้อไหนทำไม่ได้ก็ข้ามไปเพื่อความรวดเร็ว และถ้าข้อไหนไม่แน่ใจก็ใช้วิธีตัดตัวเลือกจนเหลือแค่ 2 ข้อ เอาไว้ตัดสินใจในวินาทีสุดท้าย เรื่องทำได้หรือไม่ได้ก็ส่วนหนึ่ง แต่ที่เจ็บใจมากสุดก็คือการ เลือกตอบในข้อที่ถูกแล้ว พอเวลาตรวจทานซ้ำกลับเปลี่ยนไปเลือกข้อผิด ช้ำใจยิ่งกว่าทำไม่ได้เสียอีก ใครที่เจอกับเหตุการณ์แบบนี้บ่อยๆ ลองใช้วิธีเหล่านี้ดู ปัญหาการแก้ ข้อสอบ จากถูกเป็นผิด จะหมดไปด้วยวิธีเหล่านี้ จำไว้ว่าการตัดสินใจครั้งแรกมีเปอร์เซ็นต์ถูกมากกว่าเสมอ อันนี้เราพูดถึงกรณีที่ค่อนข้างมั่นใจในการทำ ข้อสอบ นั้นๆ หากในครั้งแรกที่แก้โจทย์ เรารู้สึกว่าลังเลอยู่แค่เล็กน้อย เวลาตรวจทานให้ข้ามข้อนั้นไปได้เลย เพียงแค่ดูว่าทำครบถ้วนแล้วก็พอ อย่าย้ำคิดย้ำทำ อีกอย่างหนึ่งคือตอนที่เราคิดซ้ำสมองก็เริ่มล้าแล้วด้วย โอกาสผิดจึงสูง เลือกทำโจทย์อัตนัยที่พอทำได้แล้วใช้เวลามากก่อน ยิ่งโจทย์ใน ข้อสอบ ยากเท่าไร เราก็ยิ่งต้องใช้สมองมากเท่านั้น การเก็บข้อยากไว้ทำช่วงท้ายๆ จึงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก เว้นเสียแต่เราจะทำไม่ได้อยู่แล้ว ก็ปล่อยทิ้งไปได้เลย ไปเลือกเก็บเอาข้อที่ทำได้จะดีกว่า ทีนี้เมื่อทุ่มเทสมาธิในการหาคำตอบไปแล้ว ให้ตัดใจวัดดวงไปเลย ถูกก็ถูก ไม่ถูกก็แล้วไป…
งานนี้เราไม่ได้ยกเรื่องมาพูดกันลอยๆ เกี่ยวกับ ภาวะสิ้นหวังในการเรียน ของเด็ก เพราะมีการวิจัยในเชิงจิตวิทยากันอย่างจริงจัง ก่อนหน้านี้เด็กวัยเรียนมักจะมีปัญหาความเครียดได้ง่าย พอเครียดมากก็รับมือไม่ไหวแล้วไม่รู้จะหาทางออกอย่างไร เหมือนกับที่เราได้เห็นกรณีของเด็กที่คิดจะฆ่าตัวตายเพียงแค่เกรดตกมาไม่กี่จุด และเด็กที่มีอาการซึมเศร้าเนื่องจากทำเป้าหมายด้านการเรียนไม่สำเร็จตามความคาดหวังของพ่อแม่ ปัญหา ภาวะสิ้นหวังในการเรียน ของเด็ก จากความเครียดในวันนั้น ต่อยอดมาถึง ภาวะสิ้นหวังในการเรียน ในวันนี้ เวลาพูดถึงความเครียดของเด็ก มันจะมีสโคปค่อนข้างกว้าง กลุ่มของเด็กที่มีปัญหาก็หลายหลาย เด็กหลังห้องก็เครียดได้ เด็กโอลิมปิกก็เครียดได้เหมือนกัน แต่สำหรับภาวะสิ้นหวังนี้ มันจะเจาะจงไปที่เด็กหัวปานกลางถึงเด็กหัวช้า คิดอ่านตามเพื่อนไม่ค่อยทัน แม้ว่าจะพยายามศึกษาเพิ่มเติมด้วยตัวเองแล้วก็ตามที สิ่งที่ผู้ใหญ่ในวงการการศึกษาต้องตระหนักในเรื่องของการศึกษาให้มากขึ้นก็คือ ปัจจัยหลักของ ภาวะสิ้นหวังในการเรียน มาจากการสอบวัดระดับ ทุกครั้งที่มีการสอบ เด็กจะตึงเครียดกันมาก ไหนจะต้องจดจำเนื้อหา ไหนจะต้องฟันฝ่าเพื่อไม่ให้เป็นลำดับท้ายๆ ของชั้น หรือไม่ให้ตัวเองได้เกรดต่ำกว่าที่คาดหวัง ข้อดีของความเครียดตรงนี้ก็คือ มันกระตุ้นให้เด็กลุกขึ้นมาตั้งเป้าและพยายามทุกวิถีทางให้ไปถึงเป้านั้นได้ หลายคนจึงมีพัฒนาการที่ดีขึ้น ขณะเดียวกันก็มีอีกหลายคนที่ตั้งเป้าการเรียนการศึกษาไว้เท่าไรก็ไม่เคยไปถึงได้ เรียนในห้องก็แล้ว เรียนพิเศษก็แล้ว ดูเหมือนจะไม่มีอะไรดีขึ้น เขาจึงเริ่มรู้สึกว่าเขาช่วยเหลือตัวเองไม่ไหวแล้ว พาลไปถึงการแก้ปัญหาในจุดอื่น คือเสื่อมศรัทธาในตัวเอง กลายเป็น…
นอกเหนือไปจากความตึงเครียดของเด็กมัธยมปลายที่ต้องช่วงชิงที่นั่งในรั้วมหาวิทยาลัยแล้ว ปัญหาของ เด็กซิ่ว ก็มีความวุ่นวายไม่แพ้กัน ต้องขออธิบายก่อนว่าเด็กกลุ่มนี้คือเด็กที่ได้เข้าเรียนเรียบร้อยแล้ว ผ่านไป 1 ปี พวกเขาเริ่มรู้สึกว่าคณะที่ตัวเองอยู่นั้นไม่ใช่ตัวตนของเขา จึงได้ทำการ “ซิ่ว” หรือลงสนามสอบใหม่เพื่อย้ายคณะ ในการสอบแข่งขันแต่ละปี จึงมีประเด็นถกเถียงกันมากมาย ว่าเด็กกลุ่มนี้มากินที่เด็กที่จบปีปัจจุบัน แถมยังได้เปรียบว่าในเรื่องของประสบการณ์ ทำความเข้าใจกันใหม่กับคำว่า เด็กซิ่ว ทีนี้เมื่อกลุ่ม เด็กซิ่ว ได้เข้าคณะที่ชอบแล้ว เวลาอยู่กับเพื่อนร่วมรุ่น ตัวเองก็จะมีอายุมากกว่า เคยเรียนที่อื่นมาแล้ว บางครั้งจึงเข้ากับเพื่อนไม่ค่อยได้ ถึงเข้าได้ก็ไม่สนิทใจมากเท่ากับรุ่นราวคราวเดียวกัน หากเป็นคนที่จิตใจไม่เข้มแข้งพอ ก็จะมีภาวะตึงเครียด และอาจรุนแรงจนถึงซึมเศร้าได้ แม้ว่าตอนนี้จะมีมุมมองที่เปิดกว้างเกี่ยวกับเด็กย้ายที่เรียนกันบ้างแล้ว แต่ก็ยังมีการบูลลี่แฝงในสังคมอยู่ดี เราจึงควรมาทำความเข้าใจกันใหม่ว่า เด็กซิ่ว ไม่ใช่คนที่ทำความผิดอะไรเลย แล้วก็ไม่ควรได้รับการตอบสนองจากสังคมในแบบที่แปลกแยกไปจากเพื่อนๆ ด้วย ในทางกลับกัน เราควรชื่นชมเด็กกลุ่มนี้ ที่กล้าเลือกในสิ่งที่ตัวเองชอบจริงๆ มากกว่า เพราะมันจะเป็นทักษะที่ติดตัวพวกเขาไปตลอดชีวิต ซึ่งผู้ใหญ่ทุกคนรู้ดีว่า การฝืนทำในสิ่งที่ไม่รักจนแก่ตาย มันทรมานขนาดไหน ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ว่า ทำไม…
ปัญหาล้าหลังของการศึกษาไทย ที่ผ่านมา ผู้ที่เกี่ยวข้องในการศึกษามีความพยายามในการปฏิรูปมาแล้วหลายครั้ง แต่ไม่ได้มีการปฏิรูปหรือแก้ปัญหาอย่างแท้จริง มีเพียงแค่รูปแบบเท่านั้น ไม่ได้เน้นที่เนื้อหา ทั้งที่งบประมาณการศึกษาของไทย เมื่อเทียบสัดส่วนจีดีพีแล้ว มีค่าสูงกว่าหลายๆ ประเทศ แต่ส่วนใหญ่เป็นการนำงบประมาณการศึกษาไปจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ เทคโนโลยี เช่น คอมพิวเตอร์ ให้แก่โรงเรียนที่ขาดแคลนสื่อในการเรียน การสอน เท่านั้น ปัญหาล้าหลังของการศึกษาไทย ที่มีเพิ่มขึ้น ในปี พ.ศ. 2561 มีการเปิดเผยสถิติบุคลากรทางการศึกษาและนักเรียนในกรุงเทพมหานคร สังกัด กทม. พบว่า มีนักเรียน จำนวน 23,000 คน จากจำนวนนักเรียนทั้งหมด 170,000 คน ที่มีปัญหาในด้านการอ่านหนังสือ ซึ่งปัญหาการอ่านหนังสือนั้น เกิดจากการที่ระบบการศึกษาไทยไม่ได้สอนให้คิดวิเคราะห์ แต่เน้นการเรียนแบบท่องจำและกวดวิชา ทำให้เด็กไม่เข้าใจเนื้อหาและไม่สามารถตอบคำถามเชิงวิเคราะห์ได้ จากผลสถิติทำให้ทราบ ปัญหาล้าหลังของการศึกษาไทย เพิ่มมากขึ้น พบว่า มีอยู่ 3 อันดับที่เด็กไทยได้รับผลกระทบ นั่นคือ 1.…
เรื่องของหัวใจ เป็นเรื่องที่ห้ามความรู้สึกกันไมได้ ซึ่งความรักสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา และสามารถเกิดได้ในทุกๆเพศทุกๆวัย โดยเฉพาะในวัยเรียนในช่วงของน้องวัยรุ่น เป็นวัยที่กำลังจะโตเป็นผู้ใหญ่ มักมีความอยากรู้อยากเห็น การลองผิดลองถูกอยู่เสมอ ทำให้การมี ความรักในวัยเรียน จึงมีความเสี่ยงที่จะออกนอกลู่นอกทางได้สูง จึงเป็นวัยที่น่าเป็นห่วง ความรักในวัยเรียนเรื่องน่าห่วงของน้องๆวัยรุ่น ในวัยเรียนช่วงวัยรุ่นนั้น มักจะเจอกับคนมากมายหลายประเภท มากหน้าหลายตาอยู่เสมอ ทำให้เกิดอาการตกหลุมรักกันได้ง่ายดาย ซึ่งการมี ความรักในวัยเรียน ไม่ใช่สิ่งที่ผิดหรือน่าอายเลย แต่การมีความรักควรที่จะต้องแสดงออกให้ถูกต้อง ซึ่งความรักสำหรับบางคนคือการให้ เราสามารถมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้กับคนที่เรารักได้ ความคิดนี้อาจนำไปสู่การให้บางอย่างที่ยังไม่ถึงเวลาอันควร นั่นก็คือ การมีเพศสัมพันธุ์ก่อนวันอันควร ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สมควร แต่ถ้าไม่สามารถห้ามได้แล้วก็ควรที่จะศึกษาการคุมกำเนิดอย่างถูกวิธีไว้ โดยในปัจจุบันในประเทศค่อนข้างที่จะเปิดมากขึ้น ดังนั้นเราควรที่จะรณรงค์ให้ทุกคนพกถุงยางอนามัยไว้ เพื่อป้องกันการท้องก่อนวัยอันควร หากพลาดพลั้งจนเกิดการท้องขึ้นมา อนาคตกลับมาเรียนอาจจะค่อนช้างยากเพราะต้องเลี้ยงลูก แต่ในปัจจุบันมีการเปิดให้มาเรียนได้แล้ว แต่ความรับผิดชอบก็ต้องมากขึ้นด้วย อีกทั้งในวัยเรียนก็ยังไม่มีรายได้จึงคิดว่าการท้องก่อนวัยอันควรไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง จะต้องถึงเวลาที่พร้อม มีหน้าที่การงานที่ดี และมีความรับผิดชอบที่สูงมากๆ เพราะจะเลี้ยงดูและรับผิดชอบชีวิตหนึ่งชีวิตเลย บางครั้งที่เด็กๆในช่วงวัยรุ่น ยังไม่เข้าใจว่าทำไมผู้ใหญ่จึงต้องห้ามไม่ให้มีเรื่องรักๆใคร่ๆในวัยเรียน เพราะผู้ใหญ่เป็นห่วงว่าเด็กๆอาจจะเสียการเรียนเพราะสนใจแต่เรื่องความรัก จนไม่สนใจการเรียน ความรักในวัยเรียน เป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบ ที่หากทำผิดพลาดไปก็จะส่งผลต่ออนาคตของเด็กๆได้ความรักในวัยเรียนต้องพากันไปในทางที่ดี ช่วยกันเรียน ติวหนังสือให้กันและกัน วางแผนอนาคตที่ดีด้วยกัน…