คนในโลกส่วนใหญ่ มักจะถนัดขวามากกว่าซ้ายหลายเท่า ดังนั้นเราจึงมองว่าคนที่ถนัดซ้ายมีความแตกต่างจากเรา หรือพิเศษกว่าคนทั่วไป ซึ่งเรื่องความถนัดของมือซ้ายนี้หลายคนมักยังไม่รู้ข้อมูล และมีความลับของคนถนัดมือซ้ายอีกมากมายที่จะทำให้คุณแปลใจ ยิ่งถ้าคุณเป็น คนถนัดซ้าย ที่อยู่ในวันศึกษาเล่าเรียน ก็ควรสนใจเรื่องนี้อย่างยิ่ง เพราะสามารถทำนายแนวโน้มเรื่องการเรียนจากมือซ้ายข้างถนัดของคุณได้ แนวโน้ม เรื่องการเรียนของ คนถนัดซ้าย คนถนัดซ้ายเรียนวิชาที่สนใจได้ดี เชื่อกันว่าถ้าคนถนัดซ้ายสนใจเรื่องราว หรือวิชาใดเป็นพิเศษ เขาจะเป็นอัจฉริยะในวิชานั้นไปเลย เนื่องจากเขาจะลงลึกจนถึงขั้นหมกมุ่นเลยทีเดียว คนถนัดซ้ายจะมีพรสวรรค์ บ่อยครั้งที่คนถนัดซ้ายไม่ได้มีพื้นฐานในวิชา หรือทักษะนั้น ๆ มาก่อนเลย แต่ในครั้งแรกเขาก็ทำได้ดีจนน่าตกใจ เหมือนคนที่มีพรสวรรค์ติดตัวมาแต่เกิด คนถนัดซ้ายจะมีไอคิวสูง ถ้ามีการวัดไอคิว คนถนัดซ้ายมักจะไอคิวเฉลี่ยสูงกว่าคนที่ถนัดขวา แต่แม้คนถนัดซ้ายที่มีไอคิวต่ำ เขาก็มีความสนใจพิเศษ หรือเรียนบางเรื่องได้ดี คนถนัดซ้ายจะเรียนรู้ได้หลายอย่าง คนที่ถนัดซ้ายจะมีความสามารถในการทำสิ่งต่าง ๆ หลายอย่างพร้อมกัน และทำได้ดีมาก ซึ่งเขาจะมักจะไม่เกิดความสับสน หรือหลงลืมสิ่งที่เคยเรียนรู้มาก่อน คนถนัดซ้ายจะทำโจทย์ยาก ๆ ซับซ้อนได้ ถ้ามีข้อสอบหรือโจทย์ยาก ๆ ที่มีความซับซ้อน ก็ต้องส่งมาให้คนถนัดซ้ายเลย เพราะเขาจะมีกระบวนการคิดที่แตกต่างสร้างสรรค์กว่าคนอื่น และเขามักจะมีวิธีคิดที่ไม่เหมือนคุณครูสอน คนดังที่ถนัดมือซ้าย สิงห์อีซ้ายที่มีชื่อเสียง…
กลุ่มเด็กในช่วงวัย 6-14 ปี นับว่าอยู่ในช่วงของการเรียนรู้สิ่งต่างๆในระดับพื้นฐาน ก่อนที่จะถูกต่อยอดหลังจากนั้น ทำให้การอ่านหนังสือของเด็ก ก็มีความสำคัญที่จะช่วยให้เด็กเหล่านี้เติบโตไปแบบมีคุณภาพ แต่ถึงกระนั้นในโลกที่มีเทคโนโลยี และสิ่งเร้าเกิดขึ้นมากมาย ทำให้เด็กในช่วงวัยนี้หันเหไปยังสิ่งอื่นที่ไม่ใช่การอ่านหนังสือ ซึ่งจะมี สาเหตุเด็กไม่อ่านหนังสือ อะไรบ้างเราไปดูกัน สรุปผลสำรวจ สาเหตุเด็กไม่อ่านหนังสือ 8.9% สาเหตุเด็กไม่อ่านหนังสือ เพราะชอบเล่นเกม หากจะว่าไปเกมก็มีข้อดีอยู่ในตัว เพราะช่วยผ่อนคลายความเครียดได้ แต่ต้องมีการแบ่งเวลาที่เป็นสัดส่วนและเหมาะสม ซึ่งหากเอนเอียงไปทางเล่นเกมจนละเลยการอ่านหนังสือ ก็ย่อมไม่เป็นผลดีต่อตัวเด็กที่อาจส่งผลถึงการเรียนให้ต่ำกว่ามาตรฐานลง 17.9% ไม่ชอบ ในส่วนนี้อาจจะไม่ใช่กลุ่มที่ต้องกังวล เพราะในบางครั้งเด็กเหล่านี้เจอหนังสือที่ไม่ถูกใจ หรือไม่ตรงกับความชื่นชอบของตัวเอง ฉะนั้นในส่วนนี้หากเสริมจิตวิทยาแก่เด็กให้รู้จักคิดและค้นหาตัวตน อาจทำให้เด็กรู้จักตัวเองและรู้ว่าตัวเองชอบอะไร แล้วหลังจากนั้นตัวเด็กจะเป็นฝ่ายออกไปตามหาหนังสือในเรื่องที่เขาชื่นชอบ 26.7% ชอบดูโทรทัศน์ เป็นเรื่องปกติที่ทุกบ้านต้องมีอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ผู้ปกครองต้องกวดขันคือ ประเภทของรายการที่ดูและระยะเวลาในการรับชมต่อครั้ง เพื่อให้การดูโทรทัศน์เกิดประโยชน์และได้ความผ่อนคลาย มิใช่จนทำให้เป็น สาเหตุเด็กไม่อ่านหนังสือ เพราะหมดเวลาไปกับมันจนมากเกินไป กระทั่งส่งผลเสียต่อตัวเด็ก 35.6% อ่านไม่คล่อง ยังถือว่าไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติ เพราะภาษาไทยมีขั้นตอนการเรียนที่ซับซ้อน ฉะนั้นนอกเหนือจากการเรียนในห้อง ผู้ปกครองต้องทำหน้าเรื่องที่เป็นผู้ช่วยครูอีกทีหนึ่ง ด้วยการให้เด็กเริ่มอ่านจากสิ่งที่ชอบบ่อยๆ…
เครื่องดนตรีประจำถิ่นอีสานและลาวอย่างแคนนั้น ทราบหรือไม่ว่า ขั้นตอนการทำแคน ไม่ง่ายเลย อีกทั้งยังเป็นการพิสูจน์คุณภาพฝีมือของช่างทำแคนอีกด้วย ที่กว่าจะได้แคน 1 ตัว ต้องใช้เวลาเกือบ 2 สัปดาห์ ซึ่งจะต้องผ่านกรรมวิธีอะไรบ้าง วันนี้ได้นำมาสรุปแล้วด้านล่างนี้ ขั้นตอนการทำแคน เครื่องดนตรีเสียงสวรรค์ ของถิ่นอีสาน ขั้นตอนการทำแคนขั้นตอนแรกคือการออกไปหาไม้ซาง หรือเรียกในภาษาภาคกลางคือ ลำไผ่ไซส์เล็ก ซึ่งอยู่ตามซอกระหว่างหุบเขา โดยจะต้องตัดและวางทิ้งไว้แรมเดือน เพื่อให้เนื้อไม้ซางแห้งสนิท ปัจจุบันไม้ชนิดนี้หาได้ยากมากในประเทศไทย ตรงข้ามกับประเทศลาวและเวียดนามที่ยังมีอยู่มาก ทำให้ปัจจุบันช่างทำแคนนิยมซื้อไม้ซางจากลาวเพื่อความสะดวก ขั้นตอนการทำแคนขั้นตอนที่2 คือการคัดเลือกไม้ซาง โดยช่างแคนจะต้องคัดเลือกไม้ซางในขนาดที่ไม่บางเกินไปและไม่หนาเกินไป เพราะจะทำให้เป่ายากและเสียงเพี้ยน หลังจากได้ไม้ที่ต้องการแล้วจะต้องนำเหล็กร้อนมาเจาะบ่องไม้ซางให้ทะลุถึงกัน แล้วใช้ไม้กระดานดัดให้ไม้ซางตรง ขั้นตอนการทำแคนขั้นตอนที่3 คือการตีเงิน ช่างทำแคนจะต้องนำเงินไปเผาไฟ แล้วนำมาตีให้บางมากที่สุด ซึ่งนับว่าเป็นขั้นตอนที่ใช้เวลาในการทำนาน จากนั้นนำลิ้นเงินมาใส่ในลำไม้ซางเพื่อทำหน้าที่เป็นลิ้นแคนให้เกิดเสียง โดยจะต้องมีการทดลองเป่า ว่าเสียงได้ระดับที่ต้องการหรือยัง ขั้นตอนการทำแคนขั้นตอนที่4 ช่างแคนจะต้องไปหาแก่นไม้ โดยเฉพาะแก่นไม้คูน ที่จะขุดรากขึ้นมาแล้วทำการล็อคขนาดให้พอดี เพื่อเป็นรังเพลิงใส่ไม้ซาง ไม่เพียงเท่านั้น ช่างแคนจะต้องไปหาขุดรังมดที่อยู่ตามพื้นดินเพื่อเอาขี้สูดมายาเต้าแคน ไม่ให้ลมหลุดรอดออกมาได้ ขั้นตอนการทำแคนขั้นตอนที่5 คือการประกอบแคน ช่างจะเริ่มจากเรียงไม้ใส่รังเพลิงจนครบ…
การเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรียกได้ว่าเป็นวิชาที่ค่อนข้างเรียนยากมากๆ เพราะต้องใช้สมาธิตั้งใจในการเรียน ซึ่งบางคนบอกว่ายาก แต่ขณะเดียวกันบางคนบอกว่าง่าย ทำไมความคิดมันจึงตรงกันข้าม เพื่อนๆเคยสงสัยไหมคะ!! เหตุผลง่ายๆคือ แต่ละคนมีทักษะ หรือแนวคิดไม่เท่ากันนั่นเอง วันนี้เรามาดูกันว่า วิชานี้นำไปใช้ประโยชน์ได้จริงไหมในชีวิตประจำวัน ตามมาดูกันเลยค่ะ การเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ต้องใช้ทักษะจริงหรือ?? การเรียนวิชาคณิตศาสตร์ แน่นอนที่สุดว่าวิชานี้ มันต้องใช้ทั้งสมาธิ ความคิดขั้นสูงอย่างแท้จริง จึงจะสามารถผ่านมันไปได้ ด้วยความยากของวิชาด้วยส่วนหนึ่ง ความพยายามของผู้เรียนด้วยส่วนหนึ่ง การใช้ทักษะจึงจำเป็นค่อนข้างมากทีเดียว แต่ในทางตรงข้ามคนที่มีทักษะในการคิดคำนวณที่ดีอยู่แล้ว ก็จะได้เปรียบในการเรียนวิชานี้ไปโดยปริยายนั่นเอง ทำไมบางคนจึงเก่งใน การเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ด้วยความที่คนเรานั้นต่างเกิดมามีความเก่งและแตกต่างกัน ในด้านของความคิดที่หลากหลาย บางคนจึงเก่งวิชานี้แบบแค่สอนให้ความรู้เพียงครั้งเดียว ก็สามารถทำได้เป็นอย่างดี ใช่แล้วค่ะเพราะเค้าเรียกว่าเป็นคนที่มีความเก่งด้านวิชานี้นั่นเอง อีกทั้งเมื่อมีการฝึกฝนบ่อยๆเข้า ความสามารถด้านนี้ก็จะแสดงออกมาได้อย่างชัดเจนในเวลาต่อไปอีกด้วย การเรียนวิชาคณิตศาสตร์ กับการใช้ในชีวิตประจำวัน จะว่าไปแล้วการใช้ชีวิตในแต่ละวันนั้น การที่เรามีการซื้อขายเกิดขึ้น มีผลกำไร มีขาดทุนก็ใช้หลักการทางวิชานี้ทั้งนั้น เพราะเราต้องคำนวณหาคำตอบนั่นเอง จึงเรียกได้ว่าเป็นวิชาที่มีอิทธิพล ต่อการใช้ชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก ดังนั้นเราทุกคนควรมีความรู้ในด้านนี้กันให้มากๆ เพื่อนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตัวเราได้ทั้งในปัจจุบัน และอนาคตค่ะ สรุปได้ว่าการมีพื้นฐานวิชานี้นั้น มีความสำคัญต่อชีวิตของเราอย่างแท้จริง เราจึงควรให้ความสำคัญกับการเรียนวิชานี้ให้มากที่สุด เพราะมันเป็นการต่อยอดทางด้านความคิด…
พัฒนาการเรียนถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญที่สุด เนื่องจากเด็กบางคนที่ผู้ปกครองละเลยให้การดูแลเรื่องพัฒนาการเรียนรู้ส่งผลให้อนาคตเด็กที่เรียนรู้ช้าเกิดปัญหาในหลายด้าน เช่น เรียนไม่ทันเพื่อน ขาดโอกาสในการทำงาน ขาดโอกาสหาประการณ์ที่ดี เป็นต้น ซึ่งทุกคนจำเป็นตองทราบก่อนว่า การเรียนรู้ คือ การที่บุคคลนั้นได้รับความรู้ไม่ว่าจะเป็นทักษะ พฤติกรรม ความคิด ทัศนคติหรืออื่น ๆ จากผู้สอนนั้นเอง โดยการเรียนรู้ของคนเราจะเกิดจากประสาทสัมผัสทั้ง 6 อย่างจากการคิด การฟัง การพูด การอ่าน การเขียน เป็นต้น แต่ทุกการเรียนรู้หากไม่ได้รับการฝึกฝนก็ไม่เกิดประโยชน์ ดังนั้นบทความนี้ได้รวยรวม 5 ทักษะ สร้างการเรียนรู้ ดังนี้ แนะนำ สร้างการเรียนรู้ ด้วยทักษะต่างๆ หัดเชื่อมโยงความรู้ ในทุกการเรียนจะได้ประสิทธิภาพ 100% คือ การเข้าใจในสิ่งนั้น โดยการเชื่อมโยงความรู้เก่ามาเป็นเหตุผลประกอบการพิจาณาคำตอบใหม่ ๆ อยู่เสมอ หรือประสบการณ์เดิมสอนทุกคนพัฒนาตัวเอง หัดใช้สื่อเสริมทักษะ ในปัจจุบันสื่อมีบทบาทต่อการใช้ชีวิต ดังนั้นการเสริมสื่อที่ดีก็สามารถสร้างการเรียนรู้ได้ เช่น การเรียนภาษาอังกฤษในชั้นเรียนไม่เข้าใจจึงได้ศึกษาเพิ่มเติมใน Google ก็ถือว่าเป็นการใช้สื่อในทางที่ดี…
การประสบความสำเร็จในด้านการเรียน ใช้เพียงแค่เทคนิคในการพัฒนาทักษะ พัฒนาสมอง และเคล็ดลับการเรียนต่างๆ จากรุ่นพี่และสถาบันติว มันไม่เพียงพอ จำเป็นต้องมีระดับความสุขที่เหมาะสมในทุกครั้งที่เกิดการเรียนรู้ด้วย ซึ่ง PERMA Model ก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งในการสร้างความสุขที่น่าสนใจ สามารถปรับใช้ได้กับทุกเรื่องในชีวิต ไม่ได้เฉพาะเจาะจงกับการศึกษาของเด็กๆ เท่านั้น และจากสถิติที่ผ่านมา พบว่าผู้ที่ใช้แนวทางนี้มีค่าความสุขเพิ่มขึ้นในระยะเวลาอันสั้น ใจความหลักของ PERMA Model หากสรุปใจความหลักของ PERMA Model ให้เข้าใจได้ง่าย มันก็คือการมองโลกในแง่ดี แล้วอาศัยองค์ประกอบแวดล้อมเข้ามาช่วยสนับสนุน คำว่า PERMA เป็นการรวมของอักษรที่มีความหมายเฉพาะตัว ได้แก่ ตัวอักษร P- Positive Emotion ตัวอักษร E- Engagement ตัวอักษร R- Relationships ตัวอักษร M- Meaning และสุดท้ายตัวอักษร A- Accomplishments เหมือนกับการแบ่งเป็นหมวดหมู่ 5 หมวด…
ข้อดีของการ เรียนที่บ้าน ก็มีอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นความอิสระของช่วงเวลา เด็กๆ สามารถเลือกได้เองว่าพร้อมสำหรับการเรียนรู้เมื่อไร บรรยากาศไม่ก่อให้เกิดความตึงเครียด ส่งผลให้สมองทำงานได้ดีขึ้น และถ้าใครขยันหน่อย ก็สามารถเรียนล่วงหน้าเพื่อเก็บเนื้อหาไปก่อนได้เลย ไม่ต้องรอเพื่อนๆ เหมือนการเรียนในห้อง แต่เหรียญมีสองด้านเสมอ มีข้อดีก็ต้องมีข้อเสีย หลายคนเมื่อระบบปรับเปลี่ยนให้เรียนอยู่กับบ้าน ก็เกิดอาการขี้เกียจบ้าง เรียนไม่รู้เรื่องบ้าง ยิ่งนานวันประสิทธิภาพก็ลดน้อยลงเรื่อยๆ เคล็ดลับ เรียนที่บ้าน ให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งปัญหาทั้งหมดทั้งมวลก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ไม่ใช่แค่ เรียนที่บ้าน หรอก คนวัยทำงานที่อยู่ๆ ต้องเปลี่ยนมาทำงานจากที่บ้านก็มีความรู้สึกแบบนี้เหมือนกันหมด หน้าที่เราจึงต้องบังคับตัวเองให้ทำในสิ่งที่ควรทำ มากกว่าสิ่งที่อยากทำ ก่อนอื่นลองคิดดูว่า จะเปิดคอมเรียนเมื่อไรก็ได้ จะนั่งหรือนอนเรียนก็ยังได้ มันดีกว่าการนั่งเรียนตัวตรงอยู่ในห้องแล้ว ที่เหลือก็แค่เรียนและทำงานให้ครบเท่านั้นเอง เรื่องบรรยากาศของที่บ้านสำคัญมาก ต้องจัดพื้นที่สำหรับ เรียนที่บ้าน ไว้เฉพาะ ควรมีความเป็นส่วนตัวและเงียบมากพอ หลีกเลี่ยงการนอนเรียนบนเตียง หรือนั่งในพื้นที่ที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายมากเกินไป พร้อมกับจัดตารางเรียนให้เป็นเวลา แน่นอนว่าเรามีอิสระในการเลือกช่วงเวลาได้เอง แต่ก็ไม่ใช่ว่านึกอยากเรียนก็เรียน ควรกำหนดให้ชัดเจนไปเลยว่าแต่ละวันจะเรียนตั้งแต่กี่โมงถึงกี่โมง นอกจากนี้ก็ต้องมีการตั้งเป้าหมายเอาไว้ด้วยว่า…
พอพูดถึงเรื่องการศึกษาทีไร เด็กวัยเรียนส่วนใหญ่ก็มักจะรู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมาทุกที ไม่ใช่ว่าเด็กๆ ไม่สนใจใฝ่รู้ หรือเป็นคนขี้เกียจสันหลังยาว ต่อให้เป็นเด็กหลังห้องที่ถูกมองข้าม ก็มักจะมีนิสัยรักการเรียนรู้อยู่ในตัว นี่เป็นสิ่งที่คนในวงการการศึกษารู้ดี จึงมีการพัฒนาเทคนิคที่ชื่อว่า Brain Based Learning ขึ้นมา โดยมีเป้าหมายในการเสริมสร้างบรรยากาศที่กระตุ้นให้อยากเรียนรู้ และช่วยให้สมองทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพมากที่สุดด้วย เทคนิค Brain Based Learning การเรียนรู้อย่างมีความสุข จากผลการวิจัยเทคนิค Brain Based Learning พบว่าเด็กทั้งหมดมีพัฒนาการในการเรียนรู้สูงกว่าเดิมถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ยิ่งไปกว่านั้น ผู้เรียนอยู่ในสภาวะที่มีความสุขอยู่เสมอ ไม่ตึงเครียด ไม่ซึมเศร้า ซึ่งถือเป็นนิมิตรหมายที่ดีมากในการปรับเปลี่ยนรูปแบบและวิธีการที่ครูใช้สอนนักเรียน เพราะมันจะได้ประโยชน์กันทุกฝ่าย แล้วเชื่ออย่างยิ่งเลยว่า เด็กๆ จะอยากมาเรียนกันมากขึ้น ไม่ต้องบังคับขู่เข็ญอย่างเช่นทุกวันนี้ วิธีการใช้เทคนิค Brain Based Learning ในชีวิตประจำวัน อันที่จริงควรเป็นการร่วมมือกันระหว่างครูและนักเรียน แต่ถ้าทางโรงเรียนไม่ได้เห็นความสำคัญ ตัวนักเรียนเองก็ปรับใช้เทคนิคนี้เป็นการส่วนตัวได้ โดยมันจะมีอยู่ 4…
หากพ่อแม่เป็นสื่อกลางให้การส่งเสริมความรู้รอบตัวให้กับลูกของเรา ก็จะทำให้โลกกว้างของการเรียนรู้นั่นเปิดกว้างมากยิ่งขึ้น จนนำพาไปสู้พื้นฐานของการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา และทำให้เด็กเปิดรับสิ่งที่แปลกใหม่อยู่เสมอ เพราะ ความรู้รอบตัว ก็เหมือนวิชาที่ได้นำมาใช้ในชีวิตจริงเลย แล้วมันจะทำให้มุมมองของเด็กมีวิสัยทัศน์ก้าวไกลในภายภาคหน้าได้อีกโดย ความรู้รอบตัวการเรียนรู้แบบไม่มีวันจบสิ้น ซึ่งความรู้รอบตัวก็ไม่มีการจำกัดความ สามารถที่จะเรียนรู้ได้ตอลดเวลาแบบไม่มีวันจบสิ้น เหมือนเป็นการต่อยอดให้เขาได้เข้าใจบนโลกกว้างใบนี้มากขึ้น และในบางครั้ง ความรู้รอบตัว ก็ไม่สามารถที่จะหาจากห้องเรียนได้ อีกทั้งไม่เหมือนกับพวกวิชาการทั่วไป เพราะความรู้รอบตัวสามารเรียนรู้ได้จากสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัวของเราเอง ไม่ว่าจะเป็น สิ่งของ เครื่องใช้ อุปกรณ์บริโภคอุปโภค หรือแม้แต่ธรรมชาติที่อยู่ใกล้ ๆ ล้วนนำมาประยุกต์เพื่อเป็นสื่อการเรียนการสอนได้ อย่างความรู้รอบตัวที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ เวลา อาหาร ยารักษาโรค เครื่องยนต์พาหะนะ เชื้อชาติ รวมไปถึงวิถีการดำเนินชีวิตต่าง ๆ ก็สามารถหยิกยกนำมาสอนพวกเขาได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้สื่อการเรียนการสอนในห้องเรียนเลย เพียงเท่านี้พวกเขาก็สนุกการเรียนรู้พร้อมเปิดโลกกว้างพร้อมกับพวกเราแล้ว เหมือนคำที่ว่าครูคนแรกของลูกก็คือพ่อและแม่นั่นเอง โดยความรู้รอบตัวก็ยังมีมากมายจากนอกบ้านของเรา ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เด็ก ๆ ได้ไปเรียนรู้กัน เพียงแต่ว่าสถานที่พวกนี้พ่อและแม่หรือผู้ปกครองต้องมีใจร่วมด้วย…
เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญเอามากๆสำหรับ สภาพแวดล้อมในบ้านกับการเรียนรู้ ซึ่งหลายครอบครัวอาจจะมองข้ามเรื่องนี้ โดยอาจจะเกิดจากความชินหูชินตากับที่อยู่อาศัย แต่บ้านนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆสำหรับมุมพัฒนาตัวเองในรูปแบบต่างๆ สภาพแวดล้อมในบ้านกับการเรียนรู้ที่ดีของเด็กวัยเรียน สภาพแวดล้อมในบ้านกับการเรียนรู้ ของเด็กๆในวัยเรียน เพื่อการเรียนรู้ที่ดียิ่งขึ้นไม่ได้หมายถึงบ้านที่หลังใหญ่ สวยหรูราคาแพง แต่เป็นบ้านที่มีความสงบ และเงียบ ไม่วุ่นวาย มีมุมส่วนตัว เพราะมุมส่วนตัวนั้นคือมุม มุมหนึ่งที่สำคัญมากๆสำหรับการใช้พัฒนาตัวเอง หรือมุมใช้ความคิด ผมจะขอยกตัวอย่างนะครับ เช่นหากเพื่อนๆ อ่านหนังสือในที่ๆอากาศร้อน อบอ้าว และมีเสียงดังรบกวน กับเพื่อนๆอ่านหนังสือในที่ๆ อากาศเย็นสบาย และเงียบสงบ แบบไหนล่ะที่จะอ่านหนังสือแบบมีสมาธิมากที่สุด เพื่อนๆเริ่มเห็นภาพกันแล้วใช่ไหมครับ ดังนั้นเราจะมักเห็นบ้านของนักเขียนชื่อดังหลายๆคนนั้น เป็นบ้านที่หลักใหญ่ มีระเบียบ และอากาศถ่ายเท สะดวกสบาย ดูเป็นส่วนตัวเอามากๆ เพราะนักเขียนเหล่านี้ต้องใช้สมาธิและสภาพแวดล้อมที่ดีนั่นเอง แล้วเพราะอะไรคนส่วนใหญ่จึงมักไปหามุมเงียบๆสงบๆทำงานอ่านหนังสือที่ร้านกาแฟซักร้าน คนเหล่านั้นอาจจะหาสถานที่ ที่สงบๆเงียบๆและเย็นสบายนอกบ้านก็ได้ เพราะเหตุนี้ การจัดบ้านให้น่าอยู่และมีมุมให้ใช้สมองได้คิดอะไรเงียบๆคนเดียวบ้าง จึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามกันเลยทีเดียว หากใครที่อ่านหนังสือแล้วเกิดไม่มีสมาธิ ลองมาจัดบ้านกันใหม่ดูนะครับ เพราะวิธีการจัดบ้านนั้นมีหลากหลายมากๆและยิ่งใครที่ลูกกำลังเรียนอยู่แล้วละก็ ยิ่งควรหามุมส่วนตัวดีๆภายในบ้านให้ลูกกันด้วยนะครับ เพื่อให้เค้าได้ใช้สมาธิกับสิ่งต่างๆด้วยตัวเองให้มากที่สุด สำหรับบทความ สภาพแวดล้อมในบ้านกับการเรียนรู้ เป็นเรื่องสำคัญ ที่อยู่ใกล้ตัวของเด็กๆในวัยเรียนนั้นทำให้หลายคนอยากจัดบ้านกันมากขึ้นบ้างไหมเอ่ย หากใครที่กำลังเรียนหนังสืออยู่…