มหาวิทยาลัย

ฟังให้ดี! ทำไมปัจจุบัน บัณฑิตไม่รับปริญญา ในพิธีของมหาวิทยาลัย

ฟังให้ดี! ทำไมปัจจุบัน บัณฑิตไม่รับปริญญา ในพิธีของมหาวิทยาลัย

หลายมหาวิทยาลัยเริ่มมีกำหนดการรับปริญญาอย่างเป็นทางการบ้างแล้ว  ซึ่งเป็นเรื่องที่คนเป็นพ่อแม่และครอบครัวอยากเห็นวันนั้นของคนในครอบครัวด้วยใจจดจ่อ  แต่ก็มีบัณฑิตหลายคนไม่น้อยที่ไม่อยากจะเข้าพิธีรับปริญญาเลย  ซึ่งบทความนี้อยากให้ฟังเหตุผลชัดเจนว่าเพราะเหตุใด ทำไมปัจจุบัน บัณฑิตไม่รับปริญญา ในพิธีของมหาวิทยาลัย สาเหตุหลักๆที่ บัณฑิตไม่รับปริญญา ในเมื่อเรียนจบมหาวิทยาลัยอย่างเป็นทางการแล้ว  แต่ก็มีงานเข้าอยู่ไม่น้อยไม่ว่าจะต้องล็อกเวลาให้ทันกำหนดการ  ต้องเตรียมตัวให้พร้อมไม่ว่าจะยังไงก็ตาม  มาฟังสาเหตุกันชัดๆ ว่าทำไมปัจจุบัน บัณฑิตไม่รับปริญญา ในพิธีของมหาวิทยาลัย ซึ่งจะแบ่งสาเหตุได้ดังนี้ ค่าใช้จ่ายสูงมาก ต้องบอกตรงๆ ว่าไม่ใช่แค่ก่อนช่วง New Normal อย่างเดียว  ไม่ว่าคนมีงานประจำ  คนที่อยู่จังหวัดไกลจากมหาวิทยาลัยที่จบมาก  คนที่มีฐานะยากจน  มีหนี้สินตั้งแต่เดิมอยู่แล้ว  คนรับงานฟรีแลนซ์  คนที่เพิ่งจะได้งานเดือนแรก รวมถึงคนเพิ่งจบมหาวิทยาลัยหมาดๆ แต่ยังอยู่ในช่วงว่างงาน  การเข้าพิธีรับปริญญาคือนรกสำหรับพวกเขามาก!  เพราะต้องมีค่าเช่า-สั่งตัดชุดครุย (บางรายต้องเช่าชุดขาวในกรณีที่เป็นข้าราชการ  หรือเป็นว่าที่ร้อยตรีหลังจบหลักสูตรนักศึกษาวิชาทหาร) ค่ารองเท้า ค่าจ้างช่างภาพ  ค่าที่พัก (กรณีต้องหาที่พักเผื่อออกมาร่วมพิธีซ้อม  พิธีวันจริงไม่ทัน)  ค่าทำผม  แต่งหน้า  ค่าชุดสูทของนักศึกษาชาย  รองเท้า  กรอบรูปหมู่และรูปเดี่ยวที่สั่งทำจากมหาวิทยาลัย ฯลฯ  ทั้งนี้ต้องอยู่ที่พิธีรับปริญญาของมหาวิทยาลัยว่าจะต้องมีอะไรบ้างสำหรับการแต่งกาย  การเตรียมตัวต่างๆ ของบัณฑิตในมหาวิทยาลัยนั้นๆ เวลาและกำหนดการไม่เอื้ออำนวย…

เตรียมตัวสอบ อย่างไรถึงจะทำให้ได้คะแนน หรือผลการสอบดี

เตรียมตัวสอบ อย่างไร ถึงจะทำให้ได้คะแนน หรือผลการสอบดี

               การเตรียมตัวสอบ นั้นสำคัญต่อใครหลายๆคน ที่ไม่ใช่เฉพาะนักเรียนที่จะสอบในรายวิชานั้นๆ หรือนักเรียนม.6 ที่กำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย ยังรวมไปถึงผู้ใหญ่หลายคนอีกด้วย เช่น ผู้ที่จะสอบวัดความรู้เพื่อเข้าทำงานในบริษัท ผู้ที่จะสอบวัดความรู้ในงานของตนเองประจำปี ผู้ที่สอบแข่งขันบรรจุเข้ารับราชการ เป็นต้น ซึ่งบทความนี้จะบอกเล่าถึงเทคนิคในการ เตรียมตัวสอบ กัน มีดังนี้ เทคนิคเตรียมตัวสอบให้ได้คะแนนดี วางแผนในการเตรียมตัว เมื่อเราจะสอบจะมีหัวข้อในการสอบอยู่ เราจะต้องวางแผนในการ เตรียมตัวสอบ ก่อน โดยคำนึงถึงระยะเวลาที่มีอยู่ก่อนสอบ จำนวนหัวข้อในการสอบ คะแนนในแต่ละหัวข้อ เพื่อดูว่าหัวข้อใดมีคะแนนที่เยอะกว่า เราจะต้องทุ่มเทในหัวข้อนั้นๆมากกว่าหัวข้อ เมื่อเรามีระยะเวลาที่ไม่มากพอ เมื่อเราทราบปัจจัยต่างๆแล้ว เราก็ควรจะวางแผนให้เหมาะสม ไม่หนักเกินไปหรือน้อยเกินความจำเป็น เพื่อที่จะให้ผลคะแนนออกมาดี ทีมอ่านหนังสือวนไป มีคนหลายประเภทที่เลือกจะอ่านหนังสือซ้ำๆวนไป จนกว่าจะถึงเวลาสอบ โดยจากการวางแผน เราจะรู้ว่าเรามีเวลาขนาดไหน และสามารถอ่านหนังสือซ้ำได้ถึงกี่รอบ ซึ่งการเตรียมตัวแบบนี้จะช่วยทำให้เราจำถึงรายละเอียดต่างๆได้แม่นยำ ทีม Short Note จากการที่เราเรียนหรืออ่านหนังสือ เราจะสรุปในส่วนสำคัญต่างๆ มาทำเป็นสรุปสั้นๆ เพื่อสะดวกในการจำและรู้ถึง Keyword ในแต่ละเรื่องแต่ละหัวข้อ ยิ่งถ้าหากเรามีการลำดับเนื้อหาได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย จะช่วยทำให้เรามีทักษะในการจัดการ…

แนะนำเทคนิคการจดโน้ตที่ดี

เทคนิคการจดโน้ต ที่ดีอยู่เสมอระหว่างเรียน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ

            ถึงแม้ว่าตอนนี้หลายสถานศึกษาจะปรับการเรียนเป็นแบบออนไลน์ แต่สุดท้ายเราก็ยังต้องพึ่งพา เทคนิคการจดโน้ต ที่ดีอยู่เสมอ เพราะเนื้อหาที่เรียนส่วนใหญ่ ไม่สามารถย้อนกลับมาดูซ้ำได้อีก และต่อให้ดูวนได้หลายรอบก็นับว่าเป็นการเสียเวลามากเกินไป สู้ตั้งใจเรียนทีเดียว แล้วโน๊ตประเด็นสำคัญไว้ทบทวนดีกว่า อย่าลืมนะว่าเราไม่ได้เรียนกันแค่วิชาเดียว ขืนมัวดูเนื้อหาวนอยู่ รับรองว่ายังไงก็ไม่ทัน ดังนั้นลองมาใช้วิธีการจดโน้ตที่ทรงประสิทธิภาพเหล่านี้กันดีกว่า แนะนำเทคนิคการจดโน้ตที่ดี อย่าจดทุกอย่างแต่ให้เลือกส่วนสำคัญเท่านั้น เทคนิคการจดโน้ต ที่ใช้ได้ดีในทุกรายวิชาก็คือ เลือกจดเฉพาะส่วนสำคัญ อย่างเช่น หัวข้อ แก่นของเนื้อหา ส่วนที่อาจารย์พูดย้ำบ่อยครั้ง เป็นต้น การมัวจดทุกรายละเอียดจะทำให้เราเสียสมาธิระหว่างเรียนไปมาก แล้วก็ไม่มีทางจดทันทั้งหมด จะดีกว่ามากถ้าจดส่วนหลักแล้วเพิ่มการอธิบายประกอบด้วยถ้อยคำของตัวเองเพียงเล็กน้อย จดแบบแผนผังโดยไม่ต้องสนใจเส้นบรรทัด เคยได้ยินใช่ไหมว่า สมุดที่ไม่มีเส้นจะช่วยเสริมสร้างจินตนาการได้ดีกว่า นี่เป็นอีกหนึ่ง เทคนิคการจดโน้ต ที่น่าสนใจ ความจริงแล้วจะใช้สมุดแบบไหนก็ไม่ว่ากัน แต่เวลาจด ลองเปลี่ยนการเขียนเป็นบรรทัดตามเส้นบนกระดาษ มาเป็นการลงหัวข้อใหญ่ไว้กลางหน้า แล้วลากโยงกับหัวข้อย่อยในลักษณะแตกแขนงออกไป แบบนี้จะช่วยให้จดจำได้ดีพร้อมกับเชื่อมโยงเนื้อหาส่วนต่างๆ ได้ยอดเยี่ยมมาก จดโน้ตโดยใช้สีสันเข้ามาช่วย ข้อดีของ เทคนิคการจดโน้ต โดยใช้สีที่หลากหลายก็คือ ช่วยกระตุ้นสมองให้จดจำได้ดีขึ้น และเวลาเปิดสมุดก็มีความสวยงาม เพิ่มความรู้สึกอยากอ่านมากขึ้น เคล็ดลับคือให้เลือกใช้สีที่สอดคล้องกับเนื้อหา เช่น เนื้อหาเกี่ยวกับพืชก็ใช้สีเขียว…

สิ่งที่ต้องพบเจอ เมื่อราต้อง อยู่หอพักกับรูมเมท มีอะไรบ้าง ?

สิ่งที่ต้องพบเจอ เมื่อเราต้อง อยู่หอพักกับรูมเมท มีอะไรบ้าง ?

          เมื่อน้อง ๆ ก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยและระยะทางอยู่ไกลบ้าน แน่นอนว่า น้อง ๆ จะต้องหาหอพักอยู่ถ้าต่างจังหวัดอาจมีราคาไม่สูงนัก แต่หากในกรุงเทพฯ ราคาก็ค่อนข้างสูงขึ้น ทำให้การเลือกรูมเมทเข้ามาอยู่ด้วยจะช่วยหารค่าหอและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้ถูกลงได้ ฉะนั้นในวันนี้พี่จะหยิบยกถึงสิ่งที่ต้องเจอ เมื่อเราต้อง อยู่หอพักกับรูมเมท ไว้ประกอบการตัดสินว่าเราพร้อมหรือไม่กับการที่จะให้ใครสักคนเข้ามาอยู่กับเราเหมือนดั่งคนในครอบครัว           อยู่หอพักกับรูมเมทต้องเจอกับอะไรบ้าง           สิ่งแรกที่ต้องพบแน่นอนเมื่อเราต้อง อยู่หอพักกับรูมเมท คือ ความเป็นส่วนตัวของน้อง ๆ จะหายไปนับตั้งแต่วันที่น้อง ๆ เข้ามาใช้ชีวิตในห้องเดียวกัน ทุกสิ่งที่เราอยากทำอาจจะต้องดูความเหมาะสมซึ่งไม่สามารถทำตามอำเภอใจตัวเองได้หมด รวมถึงทุกอย่างในห้องที่มีค่าใช้จ่ายจะต้องถูกหารครึ่ง สิ่งที่น้อง ๆ ควรทำก่อนเข้าหอ คือ การดูลักษณะนิสัยและไลฟ์สไตล์ของเพื่อนที่คาดว่าจะมาเป็นรูมเมทของเรา ว่าเพื่อนคนนั้นมีไลฟ์สไตล์ไปในทางเดียวกันกับเราหรือไม่ จากนั้นควรทำข้อตกลงร่วมกันตั้งแต่วันแรก เช่น กฎระเบียบการอยู่ห้อง การใช้น้ำ-ไฟ ตารางการทำความสะอาด ซึ่งจะช่วยให้เรากับรูมเมท สามารถอยู่กันได้ยืดยาว             สิ่งต่อมาที่ต้องพบเจอเมื่อเราต้อง อยู่หอพักกับรูมเมท คือ ความแตกต่างจากอุปนิสัยในรายละเอียดปลีกย่อยของรูมเมท เช่น การนอนกรน…

คุรุสภาเอาจริง ใครไม่มี ใบประกอบอาชีพครู ระวังโทษจำคุก 3 ปีปรับ 6 หมื่นบาท

คุรุสภาเอาจริง ใครไม่มี ใบประกอบอาชีพครู ระวังโทษจำคุก 3 ปีปรับ 6 หมื่นบาท

จากข่าวที่คุณครูอนุบาลทำร้ายนักเรียนด้วยความรุนแรงเป็นเวลายาวนาน ซึ่งมีข่าวว่าเมื่อสี่ปีก่อนก็เคยมีเหตุการณ์ที่ครูทำร้ายนักเรียนและโดนให้ออกไปแล้วยกชุดแต่เหมือนว่าครูที่อยู่ในช่วงวัยเดียวกันที่เคยเห็นการกระทำรุนแรงจากครูรุ่นก่อนก็เกิดการทำพฤติกรรมเดียวกันกับเด็กของตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่เกินจรรยาบรรณของครูที่ทำร้ายนักเรียนวัยอนุบาลที่อายุเพียงไม่กี่ขวบ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทำให้หลายหน่วยงานและผู้คนทั่วไปเกิดความข้องใจว่าครูเหล่านี้มีใบประกอบวิชาชีพครูหรือไม่หรือเป็นครูเถื่อนที่เข้ามาทำงานในคราบครูเท่านั้น ทางคุรุสภาเองก็ไม่นิ่งนอนใจและเตรียมเข้าตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยความจริงจัง คุรุสภาเอาจริง ใครไม่มี ใบประกอบอาชีพครู ระวังโทษจำคุก 3 ปีปรับ 6 หมื่นบาท คุรุสภาแจ้งครูทุกคนต้องมีใบประกอบอาชีพครู                นายดิศกุล เกษมสวัสดิ์ เลขาธิการคุรุสภา ออกมาแสดงเจตจำนงชัดเจนว่า คุรุสภาเอาจริง ใครไม่มี ใบประกอบอาชีพครู ระวังโทษจำคุก 3 ปีปรับ 6 หมื่นบาท ซึ่งเป็นโทษที่ทางคุรุสภาชี้แจงออกมาให้ทราบทั่วกัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงในโรงเรียนที่เกิดจากครูที่ไม่มีจรรยาบรรณและทำให้สถาบันการศึกษาเกิดความเสียหาย โดยผู้สอนที่โรงเรียนที่ไม่มีใบประกอบอาชีพครูให้ระวางจำคุก 3 ปีหรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ทางคุรุสภาได้เตรียมตัวเข้าตรวจใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูของครูทุกคนที่โรงเรียนสารสาสน์วิเทศราชพฤกษ์ โรงเรียนที่เป็นข่าวของความรุนแรงที่เกิดจากครูอนุบาลต่อเด็กอนุบาล ซึ่งไม่ใช่เพียงครูไทยเท่านั้น ครูฟิลิปปินส์จากโรงเรียนเดียวกันก็มีพฤติกรรมรุนแรงต่อเด็กเล็กเช่นเดียวกัน ดังนั้นทางคุรุสภาจะเข้าตรวจใบประกอบอาชีพครูของครูทั้งหมด 120 คนและหากพบใครที่ไม่มีใบประกอบจำเป็นจะต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย การดำเนินการในครั้งนี้จากที่เคยตั้งเอาไว้ที่ 180 วันลดลงมาที่ 90 วันเพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาโดยเร็วเพื่อความสบายใจของพ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กที่ปล่อยลูกมาเรียนที่โรงเรียนซึ่งคิดว่าจะเป็นที่ปลอดภัยแต่กลับอันตรายต่อลูกเพราะอาจมีครูที่ไม่มีใบประกอบอาชีพครู                คุรุสภาเอาจริง ใครไม่มี ใบประกอบอาชีพครู ระวังโทษจำคุก…

เรียนยังไงให้ได้เกรดดี ให้เหมาะกับตัวเอง “ฉบับนักศึกษาน้องใหม่”

เรียนยังไงให้ได้เกรดดี ให้เหมาะกับตัวเอง ฉบับนักศึกษาน้องใหม่

          การเรียนในระดับชั้นมหาวิทยาลัย จะมีความแตกต่างจากระดับชั้นมัธยมที่มีหนังสือแบบเรียนตายตัว แต่ในรั้วมหาวิทยาลัยนั้น อาจารย์แต่ละท่านจะมีวิธีการที่หลากหลาย แต่หลัก ๆ ที่แน่นอนเลยก็คือการสอนแบบบรรยายที่จะต้องพบอย่างแน่นอน ซึ่งวิธีการเรียนของนักศึกษาสามารถทำได้หลายรูปแบบ เช่น การจดเลคเชอร์ พิมพ์ลงในโน๊ตบุ๊ค ถ่ายรูปสไลค์ รวมถึงอัดเสียง ฉะนั้นแล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราจะ เรียนยังไงให้ได้เกรดดี และวิธีการเรียนแบบไหนเหมาะสมกับตัวเราที่สุด วันนี้เราจะมาแนะนำกัน แนะนำวิธีการเรียนยังไงให้ได้เกรดดี           เรียนยังไงให้ได้เกรดดีการเรียนแบบจดเลคเชอร์ คือการจดรายละเอียดสำคัญที่อาจารย์พูด ซึ่งควรมีสมุดโน้ตเล่มที่หนาเล็กน้อยและต้องมีปากกาหรือดินสอที่ไม่พังง่าย วิธีการเรียนแบบนี้ เหมาะกับคนประเภทชอบความรวดเร็ว เพราะสามารถจด วางผัง หรือเติมรายละเอียดปลีกย่อยได้ตลอดเวลา ซึ่งเป็นวิธีที่เด็กไทยนิยมใช้กัน วิธีนี้อาจไม่เหมาะกับคนที่มีลายมืออ่านยาก เพราะหากย้อนกลับมาอ่านทำให้เข้าใจบางประเด็นผิดไป           เรียนยังไงให้ได้เกรดดีการเรียนแบบพิมพ์ลงไปในโน๊ตบุ๊คหรือในไอแพด คือการพิมพ์คำพูดและประเด็นต่าง ๆ ที่อาจารย์สอน คล้ายกับการเลคเชอร์ แต่อาจจะดีกว่าเพราะอ่านได้ง่าย ซึ่งวิธีการเรียนแบบนี้เหมาะกับผู้ที่พิมพ์ได้อย่างรวดเร็ว แต่วิธีนี้ก็มีข้อเสียคือหากอาจารย์มีแผนผัง รูปภาพต่าง ๆ มาประกอบ วิธีนี้อาจจะช้ากว่าการเขียนเลคเชอร์           เรียนยังไงให้ได้เกรดดีการถ่ายรูปสไลค์ คือ การใช้กล้องโทรศัพท์มือถือถ่ายรูปสไลค์หรือกระดานที่อาจารย์สอน วิธีการเรียนนี้เหมาะกับคนที่เรียนรู้อะไรได้อย่างรวดเร็ว แต่ข้อจำกัดคืออาจทำให้ผู้เรียนไม่ทราบถือรายละเอียดปลีกย่อยของเนื้อหาทั้งหมดที่อาจารย์อาจมีอธิบายเพิ่มเติม…

รู้เรื่อง การศึกษาไทย 4.0 ว่าจะมีทิศทางแนวโน้ม ในทิศทางที่ดีหรือถอยหลัง

รู้เรื่อง การศึกษาไทย 4.0 ว่าจะมีทิศทางแนวโน้ม ในทิศทางที่ดีหรือถอยหลัง

               เป็นคำถามของหลายๆคนว่า การศึกษาไทย 4.0 จะเดินไปในทิศทางใด จะลดลงหรือด้อยคุณภาพ มันเกิดอะไรขึ้นในยุคนี้ ที่เราควรจะต้องรู้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาของครูที่สอนแบบไม่ครบสาระวิชา ความรู้อาจจะมีความล้าสมัยอย่างรวดเร็ว และไม่มีประโยชน์ ส่วนหลายคนที่ต้องการรู้ว่าประเทศไทย มีระบบการศึกษาที่ดีที่สุดนั้นจะทำอย่างไร จะต้องทำอะไรที่ถูกต้องตลอดระยะเวลาในศตวรรษที่ 20 การศึกษานั้น เป็นเรื่องน่าเศร้าเพราะโลกของนอกโรงเรียนที่เปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างรวดเร็ว โลกแห่งความคุ้นเคยจากความเชี่ยวชาญในระบบการศึกษา อาจจะใช้ไม่ได้ ต้องอาศัยทักษะแห่งโลกอนาคต การเตรียมหลักสูตรอย่างเดียวคงไม่พอแน่สำหรับนักเรียนนักศึกษาในยุคอนาคต ทิศทางการศึกษาไทย 4.0 ในยุคปัจจุบัน                หลายคนบอกว่าการศึกษาของไทยในบ้านเรา ค่อนข้างจะเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อน มีการแบ่งสังคมมากกว่าแบ่งเรื่องของความถนัดของเด็ก ปัจจุบันก็จะเห็นว่าอาชีพมากมายมากกว่าครึ่ง ไม่ได้มีการเรียนอยู่ในหนังสือ ทำให้มองเห็นว่าในอนาคตข้างหน้าเด็ก ก็จะเรียนรู้ได้เอง ซึ่งโลกได้เปลี่ยนไปหมดแล้ว การเรียนรู้ของเด็กก็จะเปลี่ยนไปด้วยเช่นเดียวกัน                ส่วนคำถามคือพ่อแม่จะต้องปรับตัวอย่างไรใน การศึกษาของไทยสิ่งที่ชัดเจนที่สุดก็คือควรจะเปิดประตูให้พวกเขาได้สัมผัสและได้ก้าวเข้าสู่โลกอนาคต ซึ่งถึงเวลาแล้วที่พ่อแม่ไม่ควรปิดกั้นลูกของตนเอง และพยายามให้เด็กๆได้เรียนรู้เพื่อเตรียมความพร้อมกับการตัดสินใจของตนเอง                จากสถิติ การศึกษาไทย 4.0 ในปัจจุบัน ที่นักวิจัยบอกว่าเป็นความล้าหลัง โดยพบว่านักเรียนทั้งหมด 175,000 คน เฉพาะในกรุงเทพฯมีนักเรียนทั้งหมด 23,000…

สิ่งที่น้อง ๆ ม.6 ต้องรู้ไว้เพื่อ เตรียมตัวเข้ารั้วมหาวิทยาลัย มีอะไรบ้าง ?

สิ่งที่น้อง ๆ ม.6 ต้องรู้ไว้เพื่อ เตรียมตัวเข้ารั้วมหาวิทยาลัย มีอะไรบ้าง

          การเรียนในระดับชั้นประถมศึกษา 6 ปี และมัธยมศึกษา 6 ปี แน่นอนว่ากรอบการเรียนรู้ย่อมแตกต่างกัน ยิ่งเลื่อนระดับชั้นมากเท่าใดก็ยิ่งหล่อหลอมให้ตัวน้อง ๆ เป็นผู้ใหญ่ที่มากขึ้น ขณะที่การก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยของน้อง ๆ ชั้น ม.6  อาจกล่าวได้ว่าเป็นก้าวใหญ่ครั้งสำคัญของน้อง ๆ ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นน้อง ๆจะต้องพบอะไรบ้าง กับชีวิตการเรียนในชั้นมหาวิทยาลัย วันนี้พี่ในฐานะเด็ก59 จะเปิดประสบการณ์ตรงเพื่อให้น้อง ๆ ไว้เตรียมรับมือ สิ่งที่น้อง ๆ ม.6 ต้องรู้ไว้เพื่อ เตรียมตัวเข้ารั้วมหาวิทยาลัย มีอะไรบ้าง ? การเตรียมตัวเข้ารั้วมหาวิทยาลัยสำหรับเด็ก ม.6 มีอะไรบ้าง           สิ่งแรกที่ต้อง เตรียมตัวเข้ารั้วมหาวิทยาลัย คือ การจัดตารางชีวิตของตนเอง เพราะการเรียนมหาวิทยาลัยไม่มีการเข้าแถวตอนเช้า น้อง ๆ จะต้องมีระเบียบวินัยในตัวเองเพื่อพาตัวเองมาเข้าเรียนอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งการไม่มาเข้าชั้นเรียนในระดับมหาวิทยาลัยแม้ไม่มีรายงานให้ผู้ปกครองทราบ แต่หากมีการเช็คชั่วโมงเรียนแล้วขาดเกินเกณฑ์ น้อง ๆ ก็อาจจะต้องถอนรายวิชานั้นไป            สิ่งต่อมาที่ต้อง…

ข้อเสียของ การซิ่วไปเรียน

ข้อเสียของ “การซิ่วไปเรียน” แย่กว่าที่ใครหลายๆ คนได้คิดไว้ !

               หลายคนอาจจะงงกับคำว่า “ซิ่วไปเรียน” มันคือ การที่นักศึกษาที่กำลังเรียนอยู่ในคณะหรือสาขานั้นๆ แต่ไม่ได้รู้สึกชอบหรือใช่ แล้วต้องการที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยในคณะที่ตนเองชอบและใฝ่ฝันใหม่อีกครั้ง โดย การซิ่วไปเรียน นั้นจะต้องมีการเตรียมตัวในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยไปพร้อมกับการเรียนในคณะปัจจุบันด้วย ซึ่งใครหลายๆคนไม่ค่อยเลือกในการซิ่วแบบไปเรียน เพราะมีข้อเสียหลายอย่างมาก ข้อเสียของการซิ่วไปเรียน เหนื่อย การซิ่วไปเรียน จะต้องตื่นไปเรียนพร้อมทั้งอ่านหนังสือสอบเข้ามหาวิทยาลัยด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่เหนื่อยมากๆ เพราะว่าจะต้องไปเรียนในห้องเรียน มีการบ้านในแต่ละวิชา ต้องวางแผนในการอ่านหนังสือสอบเข้ามหาวิทยาลัย รวมไปถึงการทำกิจกรรมต่างๆอีกด้วย โดยปกติการไปเรียนในแต่ละวันก็ทำให้นักศึกษาหมดพลังไปเยอะแล้ว มีเวลาค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับการซิ่วอยู่บ้าน ที่มีเวลาในการเตรียมตัวแบบเต็มที่ในระยะเวลาโดยประมาณ 1 ปี ซึ่งแตกต่างกับ การซิ่วไปเรียน ที่จะต้องทำหลายๆอย่างพร้อมกัน ดังนั้นการวางแผนจะต้องดีที่สุดสำหรับตัวเราเอง ร่างกายรับไม่ไหว ในการเรียนคณะปัจจุบันของเราต้องมีหลายหน้าที่ด้วยกัน พร้อมทั้งที่เราต้องเตรียมตัวในการสอบเข้าในครั้งใหม่อีกด้วย ทำให้เวลาในการพักผ่อนมีน้อยมากๆ บางครั้งอาจจะทำให้รู้สึกเครียด วิตกกังวลไม่สบาย เจ็บไข้ได้ป่วย หรืออาจจะทำให้เกิดโรคร้ายต่างๆได้ ความกดดัน การที่เราเลือกที่จะไปคณะหรือสาขาใหม่ ทำให้คนรอบข้างมักจะตั้งคำถามกับเรา และพยายามที่จะชี้แนะในสิ่งที่พวกเขาคิด ซึ่งคำพูดเหล่านั้นอาจจะทำให้เรารู้สึกท้อแท้ หมดกำลังใจ ไม่สู้ต่อได้ ซึ่งกำลังใจชั้นดีสำหรับเด็กซิ่วก็คือ ครอบครัวที่พร้อมจะเข้าใจในสิ่งที่เราต้องการ เพื่อนที่คอยช่วยเหลือเราอยู่เสมอ และคนที่สำคัญที่สุดก็คือ…

การใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัย แตกต่างกับใน โรงเรียน หรือ วิทยาลัย อย่างไร ?

การใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัย แตกต่างกับใน โรงเรียน หรือ วิทยาลัย อย่างไร ?

               น้องๆ มัธยมหลายๆคน ที่กำลังจะเตรียมตัวก้าวเข้าไปศึกษาในมหาวิทยาลัย ในสถานะนักศึกษาหรือนิสิต ก็คงมีความกังวลในเรื่องของ การใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัย บทความนี้จะมาเล่าถึงการใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยกัน ในรั้วมหาวิทยาลัย การใช้ชีวิตประจำวันที่เปลี่ยนไป ค่อนข้างที่จะแตกต่างกับในโรงเรียน หรือวิทยาลัย เป็นอย่างไรมาดูกัน การใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยกับชีวิตประจำวันที่เปลี่ยนไป จัดตารางเรียนด้วยตนเอง ในโรงเรียนเมื่อเปิดเทอมเราก็คงจะได้ตารางเรียนที่ทางโรงเรียนได้จัดสรรมาให้เราแล้ว โดยเราไม่ต้องมานั่งคิดและจัดการกับมันเลย ซึ่งแตกต่างกันมากกับ การใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัย ที่เราจะต้องศึกษาหลักสูตรและมาจัดตารางเรียนด้วยตนเองทั้งหมด ซึ่งบางครั้งน้องปี1 อาจจะมีพี่กลุ่ม พี่รหัสหรือพี่ในคณะที่จะคอยช่วยเหลือบ้าง กิจกรรมต่างๆ การเป็นน้องปี1หรือเฟรชชี่ที่เพิ่งเข้ามาในมหาวิทยาลัย ก็มักจะมีกิจกรรมมากมาย เช่น การรับน้อง การสันทนาการ กิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ หรือค่ายอาสาต่างๆที่มีจำนวนมากในมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นสิ่งที่น้องๆปี1 สนใจมากๆ เพราะนอกจากจะได้ไปพบผู้คนใหม่ๆ ยังได้ช่วยเหลือสังคมอีกด้วย การเรียนในห้อง จากที่โรงเรียนเป็นห้องเรียนเล็กๆมีนักเรียนประมาณ 30-40 คน แต่เมื่อมาเรียนในมหาวิทยาลัยความกว้างของห้องก็ใหญ่มากขึ้น ทำให้จำนวนของผู้เรียนก็มากตามขึ้นไปด้วย สิ่งนี้อาจจะทำให้เราเสียสมาธิหรือไปสนใจเพื่อนๆในห้องมากกว่าเนื้อหาการเรียน ผู้คนมากหน้าหลายตา ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในมหาวิทยาลัย มีคนจำนวนมากกว่าในโรงเรียนเป็นหลายเท่า ซึ่งการเข้าสังคมก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จำเป็นอย่างมากในมหาวิทยาลัย เพราะเราไม่เพียงที่จะเจอแค่เพื่อนในสาขาของเราเท่านั้น แต่การเรียน การทำกิจกรรมต่างๆเราก็ยังจะต้องพบเจอกับผู้อื่นอีกมากมาย ความรับผิดชอบของ…