อนุบาล

การเรียนแบบ Homeschool เป็นการศึกษา การเรียนแบบไหน ?

การเรียนแบบ Homeschool เป็นการศึกษา การเรียนแบบไหน ?

               การเรียนแบบ Homeschool ถือเป็นการเรียนการสอนอย่างหนึ่ง ที่อยู่ในหลักสูตรของการศึกษาของไทย อีกทั้งทั่วโลกเองก็ได้มีการรับรองการเรีนยการสอนแบบ Homeschool นี้ด้วยเหมือนกัน โดยหลักสูตรแบบนี้สามารถที่จะเรียนที่ได้บ้านได้เลย และไม่ต้องเดินทางมาโรงเรียนทุกวัน นอกจจากนี้ในเรื่องของเนื้อหาการเรียนก็จะค่อนข้างแตกต่างกับหลักสูตรในโรงเรียนปกติ แต่เด็กที่เรียนหลักสูตรนี้ ก็สามารถไปสอบหรือเทียบโอนการเรียนเหมือนเด็กทั่วไปได้เลย แนวทาง หลักสูตร Homeschool                โดยหลักสูตรของ Homeschool ได้ถูกพัฒนามาจากการเรียนการสอนแบบบูรณาการณ์ ที่จะเน้นให้เด็กได้ใช้ทักษะในการลงมือทำด้วยตัวเอง และพร้อมที่เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว แต่ก็จะมีการเน้นการสอนในเรื่องของวิชาการเสริมเข้าไปด้วย เพื่อเด็กได้เรียนรู้ในตำราเรียนเหมือนกับเด็กที่ไปโรงเรียน โดยผู้ปกครองเองก็ต้องจัดตารางการเรียนการสอนในแต่ละวัน ให้เหมาะสมกับพวกเขา                ซึ่งการจัดการในการวางแผนการเรีนยแบบ Homeschool นี้ ผู้ปกครองจะต้องมีความรับผิดชอบเป็นอย่างมาก เพราะในแต่วันนอกจากจะมีการเรียนการสอนแบบวิชาการแล้ว ก็ต้องคอยจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบอื่น ๆ เสริมเข้าไปอีกด้วย เพราะไม่ใช่ว่าจะปล่อยปะละเลยได้ ซึ่งผู้ที่เรียนแบบHomeschool ก็ต้องผ่านการประเมิณหรือแบบทดสอบเหมือนกัน อีกทั้งนี้ในหนึ่งสัปดาห์ก็ต้องไปเรียนกับคุณครูด้วยเช่นกัน เพื่อติวเกี่ยวกับวิชาที่ทางกระทรวงเขาได้กำหนดมาให้                และการเรียนแบบ Homeschool คือการเรียนที่บ้าน ซึ่งใครหลายคนคิดว่าสบาย แต่ใช้ว่าใครก็จะเรียนหลักสูตรนี้ได้ เนื่องจากว่าหลักสูตรHomeschool จะเหมาะกับเด็กที่อาจจะมีปัญหา…

ภาวะสิ้นหวังในการเรียน ปัญหาของเด็ก ที่ผู้ใหญ่ต้องช่วยแก้

ภาวะสิ้นหวังในการเรียน ปัญหาของเด็ก ที่ผู้ใหญ่ต้องช่วยแก้

            งานนี้เราไม่ได้ยกเรื่องมาพูดกันลอยๆ เกี่ยวกับ ภาวะสิ้นหวังในการเรียน ของเด็ก เพราะมีการวิจัยในเชิงจิตวิทยากันอย่างจริงจัง ก่อนหน้านี้เด็กวัยเรียนมักจะมีปัญหาความเครียดได้ง่าย พอเครียดมากก็รับมือไม่ไหวแล้วไม่รู้จะหาทางออกอย่างไร เหมือนกับที่เราได้เห็นกรณีของเด็กที่คิดจะฆ่าตัวตายเพียงแค่เกรดตกมาไม่กี่จุด และเด็กที่มีอาการซึมเศร้าเนื่องจากทำเป้าหมายด้านการเรียนไม่สำเร็จตามความคาดหวังของพ่อแม่ ปัญหา ภาวะสิ้นหวังในการเรียน ของเด็ก                จากความเครียดในวันนั้น ต่อยอดมาถึง ภาวะสิ้นหวังในการเรียน ในวันนี้ เวลาพูดถึงความเครียดของเด็ก มันจะมีสโคปค่อนข้างกว้าง กลุ่มของเด็กที่มีปัญหาก็หลายหลาย เด็กหลังห้องก็เครียดได้ เด็กโอลิมปิกก็เครียดได้เหมือนกัน แต่สำหรับภาวะสิ้นหวังนี้ มันจะเจาะจงไปที่เด็กหัวปานกลางถึงเด็กหัวช้า คิดอ่านตามเพื่อนไม่ค่อยทัน แม้ว่าจะพยายามศึกษาเพิ่มเติมด้วยตัวเองแล้วก็ตามที                สิ่งที่ผู้ใหญ่ในวงการการศึกษาต้องตระหนักในเรื่องของการศึกษาให้มากขึ้นก็คือ ปัจจัยหลักของ ภาวะสิ้นหวังในการเรียน มาจากการสอบวัดระดับ ทุกครั้งที่มีการสอบ เด็กจะตึงเครียดกันมาก ไหนจะต้องจดจำเนื้อหา ไหนจะต้องฟันฝ่าเพื่อไม่ให้เป็นลำดับท้ายๆ ของชั้น หรือไม่ให้ตัวเองได้เกรดต่ำกว่าที่คาดหวัง ข้อดีของความเครียดตรงนี้ก็คือ มันกระตุ้นให้เด็กลุกขึ้นมาตั้งเป้าและพยายามทุกวิถีทางให้ไปถึงเป้านั้นได้ หลายคนจึงมีพัฒนาการที่ดีขึ้น                ขณะเดียวกันก็มีอีกหลายคนที่ตั้งเป้าการเรียนการศึกษาไว้เท่าไรก็ไม่เคยไปถึงได้ เรียนในห้องก็แล้ว เรียนพิเศษก็แล้ว ดูเหมือนจะไม่มีอะไรดีขึ้น เขาจึงเริ่มรู้สึกว่าเขาช่วยเหลือตัวเองไม่ไหวแล้ว พาลไปถึงการแก้ปัญหาในจุดอื่น คือเสื่อมศรัทธาในตัวเอง กลายเป็น…

สร้างความสุข และประสบความสำเร็จ ในการเรียนรู้ด้วย PERMA Model

สร้างความสุข และประสบความสำเร็จ ในการเรียนรู้ด้วย PERMA Model

               การประสบความสำเร็จในด้านการเรียน ใช้เพียงแค่เทคนิคในการพัฒนาทักษะ พัฒนาสมอง และเคล็ดลับการเรียนต่างๆ จากรุ่นพี่และสถาบันติว มันไม่เพียงพอ จำเป็นต้องมีระดับความสุขที่เหมาะสมในทุกครั้งที่เกิดการเรียนรู้ด้วย ซึ่ง PERMA Model ก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งในการสร้างความสุขที่น่าสนใจ สามารถปรับใช้ได้กับทุกเรื่องในชีวิต ไม่ได้เฉพาะเจาะจงกับการศึกษาของเด็กๆ เท่านั้น และจากสถิติที่ผ่านมา พบว่าผู้ที่ใช้แนวทางนี้มีค่าความสุขเพิ่มขึ้นในระยะเวลาอันสั้น ใจความหลักของ PERMA Model                หากสรุปใจความหลักของ PERMA Model ให้เข้าใจได้ง่าย มันก็คือการมองโลกในแง่ดี แล้วอาศัยองค์ประกอบแวดล้อมเข้ามาช่วยสนับสนุน คำว่า PERMA เป็นการรวมของอักษรที่มีความหมายเฉพาะตัว ได้แก่ ตัวอักษร P- Positive Emotion ตัวอักษร E- Engagement ตัวอักษร R- Relationships ตัวอักษร M- Meaning และสุดท้ายตัวอักษร A- Accomplishments เหมือนกับการแบ่งเป็นหมวดหมู่ 5 หมวด…

3 งานอดิเรก ที่ส่งเสริมการเรียนรู้ ที่ได้ประโยชน์ มากกว่าที่คิด

3 งานอดิเรก ที่ส่งเสริมการเรียนรู้ ที่ได้ประโยชน์ มากกว่าที่คิด

               อีกหนึ่งคำถามยอดฮิตของเด็กวัยเรียนก็คือ ทำยังไงถึงจะเรียนเก่งขึ้น ทำยังไงให้อ่านหนังสือเข้าใจมากขึ้น และต้องทุ่มเทขนาดไหนเกรดถึงจะดีขึ้น ซึ่งมันก็มีหลากหลายวิธีให้ได้ลองทำกัน และนี่ก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะช่วยให้ผลการเรียนของเราดีขึ้นโดยไม่รู้ตัว จาก งานอดิเรก ที่ทำในยามว่าง ยิ่งทำก็ยิ่งสนุก แถมได้ประโยชน์ในการพัฒนาสมองไปเต็มๆ แนะนำ งานอดิเรก เพื่อเสริมการเรียนรู้ที่ดี 1. วาดภาพ                น่าจะเป็นกิจกรรมที่ถูกใจเด็กสายศิลป์ไม่น้อยเลยทีเดียว ตรงนี้ไม่ได้หมายถึงการวาดภาพในกระดาษเท่านั้น การสร้างสรรค์รูปภาพผ่านโปรแกรมคอมพิวเตอร์อะไรก็นับรวมด้วยหมด งานอดิเรก ประเภทนี้จะช่วยเสริมสร้างจินตนาการในแบบที่นำไปใช้ประโยชน์ได้จริง ไม่ใช่การคิดฝันไปเรื่อยเปื่อย และยังฝึกสมาธิได้ดี ช่วยให้เราสามารถจดจ่อกับงานตรงหน้าเป็นเวลานานได้ หมายความว่าเมื่อไปเรียนรู้สิ่งอื่น ก็จะมีสมาธิต่อเนื่องด้วยเช่นกัน 2. เล่นเกม                ในมุมมองของผู้ใหญ่หลายคน มักจะมองว่าเกมเป็นบ่อนทำลายการเรียนของเด็กๆ แต่หากเปิดใจมองดูสิ่งที่เป็นไปจริงๆ จะพบว่า งานอดิเรก ในกลุ่มนี้ช่วยพัฒนาสมองหลายส่วน ยิ่งถ้าเงื่อนไขและกติกาของตัวเกมมีความซับซ้อนมากเท่าไร มันก็ยิ่งเป็นการกระตุ้นให้เด็กได้ฝึกคิดแก้ปัญหามากเท่านั้น ได้ฝึกการวิเคราะห์และตัดสินใจด้วยตัวเอง ที่สำคัญยังเสริมด้านความจำด้วย เพียงแค่ต้องเล่นในช่วงเวลาที่พอดี ไม่มากเกินไป เพื่อไม่ให้ส่งผลเสียต่อร่างกาย 3. เล่นกีฬากลางแจ้ง                การออกกำลังกายเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว ได้ทั้งความสดชื่นและสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง แต่ถ้าอยากเสริมประสิทธิภาพของสมองด้วย…

เพิ่มตัวช่วย เพื่อกระตุ้นเรียนรู้ ในชั่วโมงเรียนด้วย กลิ่นเสริมสร้างความจำ

เพิ่มตัวช่วย เพื่อกระตุ้นเรียนรู้ ในชั่วโมงเรียนด้วย กลิ่นเสริมสร้างความจำ

               มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาศักยภาพการเรียนรู้ของมนุษย์ องค์ความรู้ที่ได้จากผลการวิจัยนั้น เราก็สามารถนำไปต่อยอดได้หลายทาง อย่างเช่น คลื่นเสียงต่อการสร้างสมาธิ ระดับแสงที่พอเหมาะกับการเพิ่มทักษะใหม่ๆ เป็นต้น  และ กลิ่นเสริมสร้างความจำ ก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย จากการทดสอบและวัดผล พบว่าลักษณะของกลิ่นแต่ละแบบ จะส่งผลต่อการตอบสนองของสมองไม่เหมือนกัน อย่างที่เราเคยได้ยินเรื่องของกลิ่นบำบัดนั่นเอง กลิ่นเสริมสร้างความจำ ช่วยกระตุ้นการเรียนรู้ได้ดี                การเลือกใช้กลิ่นให้เหมาะสมจะกระตุ้นการเรียนรู้ได้มากกว่าปกติหลายเท่า แล้วก็สามารถทำได้โดยง่ายด้วยตัวเอง ไม่มีอันตรายใดๆ ขอเพียงแค่ใช้ กลิ่นเสริมสร้างความจำ ที่เป็นวัตถุดิบจากธรรมชาติก็พอแล้ว เนื่องจากเราต้องสูดดมไอระเหยอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าสารสังเคราะห์จะให้กลิ่นหอมได้เหมือนกัน แต่มันมีสรรพคุณแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง มิหนำซ้ำยังเสี่ยงต่อการระคายเคืองเยื่อโพรงจมูกอีกด้วย ว่าแต่ว่ากลิ่นอะไรบ้างที่ดีกับสมองของเรา              ข้อดีของบ้านเราก็คือ เรามีวัตถุดิบธรรมชาติเยอะมากสำหรับการทำ กลิ่นเสริมสร้างความจำ ถ้าเป็นผลไม้ก็สามารถใช้ส้มสายพันธุ์ต่างๆ ได้ ถ้าเป็นพืชผักสมุนไพรก็ยิ่งมีหลากหลายมากขึ้น เช่น ใบสะระแหน่ ตะไคร้ ยูคาลิปตัส กะเพรา เป็นต้น นอกจากกลิ่นที่แตกต่างกันของแต่ละวัตถุดิบแล้ว มันก็ยังมีสรรพคุณเฉพาะตัวที่เราจะต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมด้วย บ้างก็มีส่วนช่วยเรื่องลดความวิตกกังวล ช่วยกระตุ้นระบบประสาทให้ตื่นตัวเต็มที่ ช่วยปรับคลื่นสมองให้อยู่ในช่วงแห่งการเรียนรู้ ไปจนถึงช่วยกระตุ้นให้สมองเชื่อมโยงสิ่งต่างๆ ได้ดีขึ้น               …

การปรับตัวครั้งใหญ่ กับ โรงเรียนในเขตนวัตกรรม นักเรียนควรทำอย่างไร

การปรับตัวครั้งใหญ่ ให้เข้ากับ โรงเรียนในเขตนวัตกรรม นักเรียนควรทำอย่างไร

               เคยได้ยินข่าวคราวของ โรงเรียนในเขตนวัตกรรม กันบ้างหรือไม่ นี่ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงในวงการศึกษาที่น่าจับตามองอย่างมากทีเดียว เพราะหากระบบมีความเสถียรและลงตัวทุกช่องทางเรียบร้อยแล้ว มันจะลดความเหลื่อมล้ำของนักเรียนไปได้มาก แล้วก็จะเกิดความสร้างสรรค์ภายในโรงเรียนมากกว่าเดิมอีกด้วย ซึ่งในตอนนี้ก็จะมีเพียงแค่บางพื้นที่เท่านั้นที่อยู่ในโครงการ คาดว่าเป็นการทดลองเพื่อวัดประสิทธิภาพ ก่อนที่จะทำเป็นแผนการจริงจังเพื่อขยายไปสู่เขตอื่นๆ ทำความรู้จัก โรงเรียนในเขตนวัตกรรม                ต้นกำเนิดของ โรงเรียนในเขตนวัตกรรม เริ่มมาจาก โครงการสร้างพื้นที่ย่านนวัตกรรมของภาครัฐและเอกชน โดยจับเอาพื้นที่เศรษฐกิจที่มีแนวโน้มว่าจะทำกำไรให้กับประเทศได้ในด้านในด้านหนึ่ง มาพัฒนาต่อยอดให้มีความสามารถในด้านนวัตกรรม เข้าถึงเทคโนโลยีได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างของพื้นที่เหล่านี้ได้แก่ เชียงใหม่ ของแก่น ระยอง ชลบุรี เป็นต้น พอกลายเป็นพื้นที่นวัตกรรมแล้ว การศึกษาในย่านนั้นก็ต้องพัฒนาในสอดคล้องกันไปด้วย งานนี้โรงเรียนเลยต้องปรับตัวกันยกใหญ่ ไม่เว้นว่าจะเป็นโรงเรียนขนาดไหน                ทางโรงเรียนจะต้องจัดหลักสูตรให้เอื้อต่อการเรียนรู้เกี่ยวกับนวัตกรรมของนักเรียน อย่างน้อยต้องมีคอมพิวเตอร์ให้นักเรียนได้ใช้กัน โรงเรียนในเขตนวัตกรรม ที่เป็นโรงเรียนประจำอำเภอ หรือโรงเรียนประจำจังหวัด ก็จะไม่ค่อยมีปัญหาในเรื่องนี้เท่าไร เนื่องจากมีทุนสนับสนุนอยู่แล้ว แต่ในโรงเรียนที่ค่อนข้างห่างไกล บางแห่งก็ยังต้องรอรับอุปกรณ์ต่างๆ ที่โรงเรียนใหญ่โละทิ้งอยู่เลย ทำให้การเรียนรู้ของเด็กไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร แต่อย่างไรเสียการบังคับให้เกิดการเรียนรู้ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี                ทีนี้มันก็ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีอย่างเดียว โรงเรียนในเขตนวัตกรรม จะต้องมีโครงการให้เด็กๆ รู้จักใช้ประโยชน์จากนวัตกรรม โดยให้มีความสอดคล้องกับท้องถิ่นด้วย…

ยิ่งสนิท ยิ่งต้องเกรงใจ 5 ลักษณะนิสัย ของเพื่อน แบบนี้ยิ่งคุยยิ่งเหนื่อย

ยิ่งสนิท ยิ่งต้องเกรงใจ 5 ลักษณะนิสัย ของเพื่อน แบบนี้ยิ่งคุยยิ่งเหนื่อย

คำว่าเพื่อนเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มากๆ  สำหรับชีวิตของมนุษย์ที่เป็นสัตว์สังคม  แต่บางทีนิสัยก็มีทั้งรับได้ถ้าในกรณีสนิทกัน  และควรระมัดระวังนิดนึงว่า  อะไรควรทำ  อะไรไม่ควรทำเลย  เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนในภายหลัง  แต่ในขณะเดียวกัน  เราก็ไม่อยากมีปัญหาระหว่างกันหรอกจริงไหม?  เอาล่ะจะมาบอกนิสัยเพื่อนของคุณว่าเป็นแบบ 5 ข้อหรือไม่  ถ้ายิ่งคุยกันมากเท่าไหร่  ยิ่งเหนื่อยใจมากเท่านั้น  ซึ่งมี ลักษณะนิสัย ตามแต่ละข้อดังนี้ ลักษณะนิสัย ของเพื่อน ที่ไม่น่าคบ ไม่รู้กาลเทศะ  :  ลักษณะนิสัย แบบนี้ยิ่งคุยก็ยิ่งไม่สบายใจ  โดยเฉพาะมาคุยในเวลางาน  มีธุระก็เร้าหรือ  เพราะนอกจากไม่รู้เวลาว่าควรพูดช่วงไหน  อะไรควรทำไม่ควรทำ  ต่อให้สนิทต่อกันมากแค่ไหน  ความเกรงใจควรจะมีมากๆ เลยนะ  เพราะถ้าไม่รู้เวล่ำเวลาว่าจะทำอะไร  อย่างน้อยก็ควรเห็นหัวนิดนึงว่าควรทำไหม  เพื่อไม่บ่มนิสัยเสียๆ ใส่กันในภายหลัง งี่เง่าพูดภาษาคนไม่รู้เรื่อง  :  อย่างในกรณีที่มีเพื่อนที่พูดแล้วยังงี่เง่า  ถ้านานๆ  ทีพอได้  ไม่ว่าจะงี่เง่าเพราะเรื่องความรัก  งี่เง่าเพราะไม่ชอบใจ  หรืองี่เง่าเพราะเรื่องอื่นๆ  เช่น  เตือนแล้วยังจะดราม่านั่นนี่เพราะความอยากได้ของตนเอง  แต่ไม่ได้ดังใจ  เอาแต่ใจตนเอง  หรือสิ่งที่สื่อให้เห็นว่านิสัยแบบนี้ยิ่งคุยยิ่งเตือนเท่าไหร่  ก็เหมือนคนพูดไม่รู้เรื่อง  เพื่อน…

เรียนออนไลน์ การศึกษาในอนาคต

เรียนออนไลน์ กับระบบการศึกษา ของเด็กไทยในอนาคต

            มีคนเคยกล่าวไว้ว่า เมื่อไรที่มีวิกฤติเข้ามา มันก็จะมีโอกาสใหม่ๆ เกิดขึ้นด้วยเสมอ เราได้เห็นภาพชัดของประโยคนี้ก็ตอนที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์โรคระบาดไวรัสโควิด-19 นี่เอง นักเรียนทั่วทั้งประเทศมีโอกาสได้ เรียนออนไลน์ โดยพร้อมเพรียงกัน แม้แต่โรงเรียนในเขตทุรกันดาร ที่ครูเองก็ยังไม่ได้เชี่ยวชาญระบบอินเตอร์เน็ตมากนัก ก็ถูกบังคับด้วยนโยบายฉุกเฉิน ที่ต้องให้นักเรียนได้เรียนรู้ต่อไปได้ ไม่ว่าภาวะโควิดจะเป็นไปในทางใดก็ตาม เรียนออนไลน์ การศึกษาในอนาคต                ในช่วงแรกของการ เรียนออนไลน์ บอกได้คำเดียวว่าวุ่นวายอย่างที่สุด โรงเรียนในเมืองก็นับว่ามีความพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงแบบนี้อยู่แล้ว แค่เสริมทุกอย่างให้เป็นระบบแบบเข้าที่เข้าทางก็ใช้งานได้ แถมหลายสถานศึกษาก็ให้นักเรียนเจออาจารย์พร้อมส่งงานแบบออนไลน์มาก่อนที่จะมีประกาศเสียอีก แต่พอออกมาต่างจังหวัดหน่อย ระบบก็ไม่พร้อม อุปกรณ์ก็ไม่พร้อม สะเทือนไปจนถึงพ่อแม่ผู้ปกครองก็ไม่พร้อมจ่ายเงินค่าอุปกรณ์เสริมให้ลูกๆ ด้วยเหมือนกัน                มันจึงเกิดเสียงแตกเป็นหลายกระแส ฝ่ายที่พร้อมกับการ เรียนออนไลน์ ก็มองว่าทันสมัยและสะดวกดี ฝ่ายที่ไม่พร้อมก็บ่นกันหนาหูว่าแนวคิดนี้สร้างภาระให้มาก จนท้ายที่สุดก็เหมือนว่าโครงการนี้จะไม่เป็นเอกฉันท์ ใครทำได้ก็ทำ ใครทำไม่ไหวก็ต้องชะลอการเล่าเรียนออกไป อย่างไรก็ตาม ถ้ามองอย่างเป็นกลาง ระบบการเรียนสมัยใหม่ก็ควรปรับเป็นออนไลน์ได้แล้ว ค่อยๆ เปลี่ยนก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเสียเลย                เพราะการ เรียนออนไลน์ จะช่วยให้เด็กๆ จัดตารางชีวิตของตัวเองได้ดีกว่า ยืดหยุ่นเวลาได้มากขึ้น แถมยังประหยัดงบประมาณในส่วนอื่นไปได้อีกมาก…

เรียนที่บ้าน ทำยังไง? ให้มีประสิทธิภาพ ไม่ให้เสียการเรียน

เรียนที่บ้าน ทำยังไง? ให้มีประสิทธิภาพ ไม่ให้เสียการเรียน

            ข้อดีของการ เรียนที่บ้าน ก็มีอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นความอิสระของช่วงเวลา เด็กๆ สามารถเลือกได้เองว่าพร้อมสำหรับการเรียนรู้เมื่อไร บรรยากาศไม่ก่อให้เกิดความตึงเครียด ส่งผลให้สมองทำงานได้ดีขึ้น และถ้าใครขยันหน่อย ก็สามารถเรียนล่วงหน้าเพื่อเก็บเนื้อหาไปก่อนได้เลย ไม่ต้องรอเพื่อนๆ เหมือนการเรียนในห้อง แต่เหรียญมีสองด้านเสมอ มีข้อดีก็ต้องมีข้อเสีย หลายคนเมื่อระบบปรับเปลี่ยนให้เรียนอยู่กับบ้าน ก็เกิดอาการขี้เกียจบ้าง เรียนไม่รู้เรื่องบ้าง ยิ่งนานวันประสิทธิภาพก็ลดน้อยลงเรื่อยๆ เคล็ดลับ เรียนที่บ้าน ให้มีประสิทธิภาพ                ซึ่งปัญหาทั้งหมดทั้งมวลก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ไม่ใช่แค่ เรียนที่บ้าน หรอก คนวัยทำงานที่อยู่ๆ ต้องเปลี่ยนมาทำงานจากที่บ้านก็มีความรู้สึกแบบนี้เหมือนกันหมด หน้าที่เราจึงต้องบังคับตัวเองให้ทำในสิ่งที่ควรทำ มากกว่าสิ่งที่อยากทำ ก่อนอื่นลองคิดดูว่า จะเปิดคอมเรียนเมื่อไรก็ได้ จะนั่งหรือนอนเรียนก็ยังได้ มันดีกว่าการนั่งเรียนตัวตรงอยู่ในห้องแล้ว ที่เหลือก็แค่เรียนและทำงานให้ครบเท่านั้นเอง                เรื่องบรรยากาศของที่บ้านสำคัญมาก ต้องจัดพื้นที่สำหรับ เรียนที่บ้าน ไว้เฉพาะ ควรมีความเป็นส่วนตัวและเงียบมากพอ หลีกเลี่ยงการนอนเรียนบนเตียง หรือนั่งในพื้นที่ที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายมากเกินไป พร้อมกับจัดตารางเรียนให้เป็นเวลา แน่นอนว่าเรามีอิสระในการเลือกช่วงเวลาได้เอง แต่ก็ไม่ใช่ว่านึกอยากเรียนก็เรียน ควรกำหนดให้ชัดเจนไปเลยว่าแต่ละวันจะเรียนตั้งแต่กี่โมงถึงกี่โมง                นอกจากนี้ก็ต้องมีการตั้งเป้าหมายเอาไว้ด้วยว่า…

วิธีการเพิ่มศักยภาพแห่งการเรียนรู้ ด้วยเทคนิค Brain Based Learning

วิธีการเพิ่มศักยภาพแห่งการเรียนรู้ ด้วยเทคนิค Brain Based Learning

               พอพูดถึงเรื่องการศึกษาทีไร เด็กวัยเรียนส่วนใหญ่ก็มักจะรู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมาทุกที ไม่ใช่ว่าเด็กๆ ไม่สนใจใฝ่รู้ หรือเป็นคนขี้เกียจสันหลังยาว ต่อให้เป็นเด็กหลังห้องที่ถูกมองข้าม ก็มักจะมีนิสัยรักการเรียนรู้อยู่ในตัว นี่เป็นสิ่งที่คนในวงการการศึกษารู้ดี จึงมีการพัฒนาเทคนิคที่ชื่อว่า Brain Based Learning ขึ้นมา โดยมีเป้าหมายในการเสริมสร้างบรรยากาศที่กระตุ้นให้อยากเรียนรู้ และช่วยให้สมองทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพมากที่สุดด้วย เทคนิค Brain Based Learning การเรียนรู้อย่างมีความสุข                จากผลการวิจัยเทคนิค Brain Based Learning พบว่าเด็กทั้งหมดมีพัฒนาการในการเรียนรู้สูงกว่าเดิมถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ยิ่งไปกว่านั้น ผู้เรียนอยู่ในสภาวะที่มีความสุขอยู่เสมอ ไม่ตึงเครียด ไม่ซึมเศร้า ซึ่งถือเป็นนิมิตรหมายที่ดีมากในการปรับเปลี่ยนรูปแบบและวิธีการที่ครูใช้สอนนักเรียน เพราะมันจะได้ประโยชน์กันทุกฝ่าย แล้วเชื่ออย่างยิ่งเลยว่า เด็กๆ จะอยากมาเรียนกันมากขึ้น ไม่ต้องบังคับขู่เข็ญอย่างเช่นทุกวันนี้                วิธีการใช้เทคนิค Brain Based Learning ในชีวิตประจำวัน อันที่จริงควรเป็นการร่วมมือกันระหว่างครูและนักเรียน แต่ถ้าทางโรงเรียนไม่ได้เห็นความสำคัญ ตัวนักเรียนเองก็ปรับใช้เทคนิคนี้เป็นการส่วนตัวได้ โดยมันจะมีอยู่ 4…