โรงเรียน

กลุ่มผู้ปกครองของโรงเรียนสารสาสน์วิเทศน์บางบอนก็ได้รวบรวมรายชื่อของผู้ปกครองกว่า 150 รายชื่อ พร้อมเดินทางมาที่โรงเรียนเพื่อยื่น 3 ข้อเรียกร้องจากผู้ปกครอง เด็กที่โดนทำร้าย ถึงผู้บริหารโรงเรียนสารสาสน์

3 ข้อเรียกร้องจากผู้ปกครอง เด็กที่โดนทำร้าย ถึงผู้บริหารโรงเรียนสารสาสน์

              เมื่อเกิดข่าวที่มีครูทำร้ายนักเรียนอนุบาลในเครือสารสาสน์ได้ไม่นานกลุ่มผู้ปกครองจากโรงเรียนต่าง ๆ ในเครือสารสาสน์ก็เริ่มตื่นตัวถึงความไม่ปลอดภัยของบุตรหลานตัวเองที่ส่งให้มาอยู่ที่โรงเรียนแพง ๆ นอกจากโรงเรียนวิเทศน์ราชพฤกษ์ที่เกิดข่าวไปแล้ว ผู้ปกครองของโรงเรียนสารสาสน์วิเทศน์ร่มเกล้า และล่าสุดกลุ่มผู้ปกครองของโรงเรียนสารสาสน์วิเทศน์บางบอนก็ได้รวบรวมรายชื่อของผู้ปกครองกว่า 150 รายชื่อ พร้อมเดินทางมาที่โรงเรียนเพื่อยื่น 3 ข้อเรียกร้องจากผู้ปกครอง เด็กที่โดนทำร้าย ถึงผู้บริหารโรงเรียนสารสาสน์ รวม 3 ข้อเรียกร้องจากผู้ปกครองถึงผู้บริหารโรงเรียนสารสาสน์               รวม 3 ข้อเรียกร้องจากผู้ปกครอง เด็กที่โดนทำร้าย ถึงผู้บริหารโรงเรียนสารสาสน์ ข้อแรกคือขอให้มีการติดกล้องวงจรปิดทั่วทุกห้องและทุกระดับชั้นในโรงเรียน เพื่อให้ผู้ปกครองสามารถเช็คได้เมื่อเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงหรือเหตุการณ์อื่น ๆ เกี่ยวกับลูกของตนเอง ข้อสองคืออยากให้โรงเรียนมีการตรวจเช็คและอบรมครูเกี่ยวกับการดูแลเด็ก ซึ่งทางตัวผู้ปกครองไม่ทราบว่าทางโรงเรียนมีมาตรการนี้อยู่แล้วหรือไม่แต่ก็อยากให้มีเพื่อให้ครูที่สอนและดูแลลูกของตนมีคุณภาพไม่ทำร้ายเด็กทั้งทางวาจาหรือร่างกาย ข้อสุดท้ายคือทางผู้ปกครองอยากให้มีนักจิตวิทยาเด็กประจำโรงเรียน เพื่อให้ลูกได้ปรึกษาหรือเพื่อให้คำแนะนำกับคุณครูในการดูแลเด็กเล็ก เพื่อให้เด็กและครูมีสภาพจิตที่ดี ทั้งสามข้อเรียกร้องดูจะเป็นข้อเรียกร้องที่ไม่มากเกินไปเพราะเป็นสิ่งที่ทางโรงเรียนควรมีอยู่แล้วเพื่อความปลอดภัยของเด็ก รวมถึงคุณภาพของเด็กนักเรียนหลังจากเรียนจบจากที่โรงเรียน               จาก 3 ข้อเรียกร้องจากผู้ปกครอง เด็กที่โดนทำร้าย ถึงผู้บริหารโรงเรียนสารสาสน์ เนื่องจากข้อเรียกร้องนี้เพิ่งยิงกับทางโรงเรียนได้ไม่นานก็ต้องดูกันต่อไปว่าทางโรงเรียนในเครือสารสาสน์ทั้งหมดจะมีมาตรการใดออกมารองรับเพื่อป้องกันปัญหาความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นได้อีกหากคุณครูไม่มีคุณภาพ และการตรวจตราของทางโรงเรียนไม่แน่นพอ เหล่าผู้ปกครองยังย้ำอีกด้วยว่าเด็กไม่ใช่ที่ระบายความรุนแรงของใคร ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรก็ไม่ควรเอามาลงกับเด็กที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว ผู้ปกครองของเด็กแต่ละคนก็คอยเลี้ยงดูลูกให้ดีที่สุด บางคนยังไม่เคยตีลูกของตัวเองเลยด้วยซ้ำกลับต้องมาเจอความรุนแรงที่โรงเรียนแทน เด็กเล็กที่ไม่สามารถเรียกร้องสิทธิของตัวเองได้เพราะไม่รู้ความแต่ความทรงจำที่ถูกครูทำร้ายจะเป็นบาดแผลภายในใจตลอดไปได้ เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนและสำคัญต่อพัฒนาการทางด้านบุคลิกและความสนใจในการเรียนของเด็กอย่างมากจึงควรใส่ใจดูแลเป็นพิเศษ ติดตามบทความ การศีกษาไทย เคล็ดลับการสอบ เคล็ดลับการอ่านหนังสือ ข่าวการศึกษา ได้ที่นี้ ข่าวเด่น คุรุสภาเอาจริง…

แนะนำเทคนิคการจดโน้ตที่ดี

เทคนิคการจดโน้ต ที่ดีอยู่เสมอระหว่างเรียน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ

            ถึงแม้ว่าตอนนี้หลายสถานศึกษาจะปรับการเรียนเป็นแบบออนไลน์ แต่สุดท้ายเราก็ยังต้องพึ่งพา เทคนิคการจดโน้ต ที่ดีอยู่เสมอ เพราะเนื้อหาที่เรียนส่วนใหญ่ ไม่สามารถย้อนกลับมาดูซ้ำได้อีก และต่อให้ดูวนได้หลายรอบก็นับว่าเป็นการเสียเวลามากเกินไป สู้ตั้งใจเรียนทีเดียว แล้วโน๊ตประเด็นสำคัญไว้ทบทวนดีกว่า อย่าลืมนะว่าเราไม่ได้เรียนกันแค่วิชาเดียว ขืนมัวดูเนื้อหาวนอยู่ รับรองว่ายังไงก็ไม่ทัน ดังนั้นลองมาใช้วิธีการจดโน้ตที่ทรงประสิทธิภาพเหล่านี้กันดีกว่า แนะนำเทคนิคการจดโน้ตที่ดี อย่าจดทุกอย่างแต่ให้เลือกส่วนสำคัญเท่านั้น เทคนิคการจดโน้ต ที่ใช้ได้ดีในทุกรายวิชาก็คือ เลือกจดเฉพาะส่วนสำคัญ อย่างเช่น หัวข้อ แก่นของเนื้อหา ส่วนที่อาจารย์พูดย้ำบ่อยครั้ง เป็นต้น การมัวจดทุกรายละเอียดจะทำให้เราเสียสมาธิระหว่างเรียนไปมาก แล้วก็ไม่มีทางจดทันทั้งหมด จะดีกว่ามากถ้าจดส่วนหลักแล้วเพิ่มการอธิบายประกอบด้วยถ้อยคำของตัวเองเพียงเล็กน้อย จดแบบแผนผังโดยไม่ต้องสนใจเส้นบรรทัด เคยได้ยินใช่ไหมว่า สมุดที่ไม่มีเส้นจะช่วยเสริมสร้างจินตนาการได้ดีกว่า นี่เป็นอีกหนึ่ง เทคนิคการจดโน้ต ที่น่าสนใจ ความจริงแล้วจะใช้สมุดแบบไหนก็ไม่ว่ากัน แต่เวลาจด ลองเปลี่ยนการเขียนเป็นบรรทัดตามเส้นบนกระดาษ มาเป็นการลงหัวข้อใหญ่ไว้กลางหน้า แล้วลากโยงกับหัวข้อย่อยในลักษณะแตกแขนงออกไป แบบนี้จะช่วยให้จดจำได้ดีพร้อมกับเชื่อมโยงเนื้อหาส่วนต่างๆ ได้ยอดเยี่ยมมาก จดโน้ตโดยใช้สีสันเข้ามาช่วย ข้อดีของ เทคนิคการจดโน้ต โดยใช้สีที่หลากหลายก็คือ ช่วยกระตุ้นสมองให้จดจำได้ดีขึ้น และเวลาเปิดสมุดก็มีความสวยงาม เพิ่มความรู้สึกอยากอ่านมากขึ้น เคล็ดลับคือให้เลือกใช้สีที่สอดคล้องกับเนื้อหา เช่น เนื้อหาเกี่ยวกับพืชก็ใช้สีเขียว…

คุรุสภาเอาจริง ใครไม่มี ใบประกอบอาชีพครู ระวังโทษจำคุก 3 ปีปรับ 6 หมื่นบาท

คุรุสภาเอาจริง ใครไม่มี ใบประกอบอาชีพครู ระวังโทษจำคุก 3 ปีปรับ 6 หมื่นบาท

จากข่าวที่คุณครูอนุบาลทำร้ายนักเรียนด้วยความรุนแรงเป็นเวลายาวนาน ซึ่งมีข่าวว่าเมื่อสี่ปีก่อนก็เคยมีเหตุการณ์ที่ครูทำร้ายนักเรียนและโดนให้ออกไปแล้วยกชุดแต่เหมือนว่าครูที่อยู่ในช่วงวัยเดียวกันที่เคยเห็นการกระทำรุนแรงจากครูรุ่นก่อนก็เกิดการทำพฤติกรรมเดียวกันกับเด็กของตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่เกินจรรยาบรรณของครูที่ทำร้ายนักเรียนวัยอนุบาลที่อายุเพียงไม่กี่ขวบ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทำให้หลายหน่วยงานและผู้คนทั่วไปเกิดความข้องใจว่าครูเหล่านี้มีใบประกอบวิชาชีพครูหรือไม่หรือเป็นครูเถื่อนที่เข้ามาทำงานในคราบครูเท่านั้น ทางคุรุสภาเองก็ไม่นิ่งนอนใจและเตรียมเข้าตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยความจริงจัง คุรุสภาเอาจริง ใครไม่มี ใบประกอบอาชีพครู ระวังโทษจำคุก 3 ปีปรับ 6 หมื่นบาท คุรุสภาแจ้งครูทุกคนต้องมีใบประกอบอาชีพครู                นายดิศกุล เกษมสวัสดิ์ เลขาธิการคุรุสภา ออกมาแสดงเจตจำนงชัดเจนว่า คุรุสภาเอาจริง ใครไม่มี ใบประกอบอาชีพครู ระวังโทษจำคุก 3 ปีปรับ 6 หมื่นบาท ซึ่งเป็นโทษที่ทางคุรุสภาชี้แจงออกมาให้ทราบทั่วกัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงในโรงเรียนที่เกิดจากครูที่ไม่มีจรรยาบรรณและทำให้สถาบันการศึกษาเกิดความเสียหาย โดยผู้สอนที่โรงเรียนที่ไม่มีใบประกอบอาชีพครูให้ระวางจำคุก 3 ปีหรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ทางคุรุสภาได้เตรียมตัวเข้าตรวจใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูของครูทุกคนที่โรงเรียนสารสาสน์วิเทศราชพฤกษ์ โรงเรียนที่เป็นข่าวของความรุนแรงที่เกิดจากครูอนุบาลต่อเด็กอนุบาล ซึ่งไม่ใช่เพียงครูไทยเท่านั้น ครูฟิลิปปินส์จากโรงเรียนเดียวกันก็มีพฤติกรรมรุนแรงต่อเด็กเล็กเช่นเดียวกัน ดังนั้นทางคุรุสภาจะเข้าตรวจใบประกอบอาชีพครูของครูทั้งหมด 120 คนและหากพบใครที่ไม่มีใบประกอบจำเป็นจะต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย การดำเนินการในครั้งนี้จากที่เคยตั้งเอาไว้ที่ 180 วันลดลงมาที่ 90 วันเพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาโดยเร็วเพื่อความสบายใจของพ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กที่ปล่อยลูกมาเรียนที่โรงเรียนซึ่งคิดว่าจะเป็นที่ปลอดภัยแต่กลับอันตรายต่อลูกเพราะอาจมีครูที่ไม่มีใบประกอบอาชีพครู                คุรุสภาเอาจริง ใครไม่มี ใบประกอบอาชีพครู ระวังโทษจำคุก…

กระทรวงการศึกษาธิการ แพลนเพิ่มงบ “โครงการอาหารกลางวัน” ในปี 2565

กระทรวงการศึกษาธิการ แพลนเพิ่มงบ “โครงการอาหารกลางวัน” ในปี 2565

               เรื่องอาหารกลางวันเป็นเรื่องที่มีความสำคัญกับเด็กอย่างมาก โดยเฉพาะโรงเรียนในต่างจังหวัดที่อยู่ห่างไกล และครอบครัวส่วนใหญ่ที่ส่งลูกมาเรียนมีความยากจน การให้เด็กได้รับประทานอาหารอย่างสมบูรณ์นอกจากจะทำให้เด็กมีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แล้ว เด็กยังมีสุขภาพจิตและสมองที่พร้อมในการเรียนรู้มากขึ้นอีกด้วย แม้จะไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องความยากจนให้หมดไปได้แต่ก็ช่วยให้เด็ก ๆ ที่ชีวิตการศึกษารวมถึงการรับประทานอาหารที่ดีขึ้นอีกด้วย ทางกระทรวงการศึกษาธิการก็ได้มองเห็นถึงสำคัญของสิ่งนี้ด้วยเช่นกัน ดังนั้น กระทรวงการศึกษาธิการ จึงมีการแพลนที่จะเพิ่มงบ โครงการอาหารกลางวัน ในปี 2565 ปรับเพิ่มงบโครงการอาหารกลางวันเด็กนักเรียน                นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการศึกษาธิการ ได้ประกาศออกมาอย่างชัดเจนแล้วว่าขณะนี้ ได้เตรียมที่จะเพิ่มงบประมาณใน โครงการอาหารกลางวัน ด้วยให้มากขึ้น หลังจากที่ไม่มีการเพิ่มงบประมาณมาเป็นเวลาขณะหนึ่งแล้ว โดยเริ่มต้นตอนนี้ทุกโรงเรียนได้รับเงินค่าอาหารกลางวันให้เด็กคนละ 20 บาท ซึ่งแพลนที่จะเพิ่มค่าอาหารกลางวันนั้นเป็นแบบขั้นบันได กล่าวคือเงินที่นักเรียนแต่ละคนได้จะขึ้นอยู่กับจำนวนนักเรียนที่โรงเรียนนั้น ๆ เช่น โรงเรียนที่มีนักเรียนตั้งแต่ 1 – 20 คนจะปรับเงินค่าอาหารกลางวันเป็น 36 บาท, โรงเรียนที่มีนักเรียนตั้งแต่ 21 – 40 คนจะปรับเงินค่าอาหารกลางวันเป็น 31 บาท, โรงเรียนที่มีนักเรียนตั้งแต่ 41 – 60 คนจะปรับเงินค่าอาหารกลางวันเป็น…

รู้เรื่อง การศึกษาไทย 4.0 ว่าจะมีทิศทางแนวโน้ม ในทิศทางที่ดีหรือถอยหลัง

รู้เรื่อง การศึกษาไทย 4.0 ว่าจะมีทิศทางแนวโน้ม ในทิศทางที่ดีหรือถอยหลัง

               เป็นคำถามของหลายๆคนว่า การศึกษาไทย 4.0 จะเดินไปในทิศทางใด จะลดลงหรือด้อยคุณภาพ มันเกิดอะไรขึ้นในยุคนี้ ที่เราควรจะต้องรู้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาของครูที่สอนแบบไม่ครบสาระวิชา ความรู้อาจจะมีความล้าสมัยอย่างรวดเร็ว และไม่มีประโยชน์ ส่วนหลายคนที่ต้องการรู้ว่าประเทศไทย มีระบบการศึกษาที่ดีที่สุดนั้นจะทำอย่างไร จะต้องทำอะไรที่ถูกต้องตลอดระยะเวลาในศตวรรษที่ 20 การศึกษานั้น เป็นเรื่องน่าเศร้าเพราะโลกของนอกโรงเรียนที่เปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างรวดเร็ว โลกแห่งความคุ้นเคยจากความเชี่ยวชาญในระบบการศึกษา อาจจะใช้ไม่ได้ ต้องอาศัยทักษะแห่งโลกอนาคต การเตรียมหลักสูตรอย่างเดียวคงไม่พอแน่สำหรับนักเรียนนักศึกษาในยุคอนาคต ทิศทางการศึกษาไทย 4.0 ในยุคปัจจุบัน                หลายคนบอกว่าการศึกษาของไทยในบ้านเรา ค่อนข้างจะเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อน มีการแบ่งสังคมมากกว่าแบ่งเรื่องของความถนัดของเด็ก ปัจจุบันก็จะเห็นว่าอาชีพมากมายมากกว่าครึ่ง ไม่ได้มีการเรียนอยู่ในหนังสือ ทำให้มองเห็นว่าในอนาคตข้างหน้าเด็ก ก็จะเรียนรู้ได้เอง ซึ่งโลกได้เปลี่ยนไปหมดแล้ว การเรียนรู้ของเด็กก็จะเปลี่ยนไปด้วยเช่นเดียวกัน                ส่วนคำถามคือพ่อแม่จะต้องปรับตัวอย่างไรใน การศึกษาของไทยสิ่งที่ชัดเจนที่สุดก็คือควรจะเปิดประตูให้พวกเขาได้สัมผัสและได้ก้าวเข้าสู่โลกอนาคต ซึ่งถึงเวลาแล้วที่พ่อแม่ไม่ควรปิดกั้นลูกของตนเอง และพยายามให้เด็กๆได้เรียนรู้เพื่อเตรียมความพร้อมกับการตัดสินใจของตนเอง                จากสถิติ การศึกษาไทย 4.0 ในปัจจุบัน ที่นักวิจัยบอกว่าเป็นความล้าหลัง โดยพบว่านักเรียนทั้งหมด 175,000 คน เฉพาะในกรุงเทพฯมีนักเรียนทั้งหมด 23,000…

การเตรียมตัวให้พร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ รวมถึงสัมภาระด้วย ซึ่งวันนี้ในฐานะรุ่นพี่จะมาแนะนำ ของแรร์ไอเทม ที่ย้ำเลยว่าต้องนำไป มีอะไรบ้างไปดูกันเลย

ของแรร์ไอเทม ที่จำเป็นต้องมี ในการออกค่ายภาคสนาม ของการเรียน รด.

          ช่วงนี้เชื่อว่าน้อง ๆ ผู้ชายมัธยมปลายหลายคนคงจะอยู่ในช่วงของการเรียน รด. ภาคที่ตั้งปกติ โดยหลังจบหลักสูตร ก็จะมีการออกค่ายภาคสนามตามท้องที่ต่าง ๆ ตั้งแต่ช่วงปลายปี ไปจนถึงต้นปีหน้า โดยระยะเวลาต่อผลัดก็ประมาณ 3-5 วัน แล้วแต่ท้องที่ ซึ่งจะต้องมีการเตรียมตัวให้พร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ รวมถึงสัมภาระด้วย ซึ่งวันนี้ในฐานะรุ่นพี่จะมาแนะนำ ของแรร์ไอเทม ที่ย้ำเลยว่าต้องนำไป มีอะไรบ้างไปดูกันเลย ของแรร์ไอเทมที่ต้องมีในการออกค่าย รด.           ก่อนไปค่ายภาคสนาม แนะนำว่าน้อง ๆ ต้องฟิตซ้อมออกกำลังกายให้เป็นอย่างดี เพราะนี้คือการออกค่าย รด ภาคสนามหลายวันติดต่อกัน ต้องใช้พลังงานอย่างมหาศาลกับการฝึกแต่ละฐาน อีกทั้งน้อง ๆ จะต้องไปหลับนอนในที่ไม่คุ้นเคย ซึ่งอาจทำให้พักผ่อนได้ไม่เต็มที่ หากไม่ฟิตซ้อมอาจทำให้หมดสติ หรือล้มป่วยได้             ทีนี้ ของแรร์ไอเทม อะไรบ้างที่ควรเตรียมไป นอกเหนือจากที่ทางศูนย์ฝึกบังคับให้นำติดตัวไป เริ่มกันที่ 1.ยากันยุง เพราะการฝึกอาจมีช่วงฐานกลางคืนในป่า รวมถึงที่พักนอน ที่กองทัพยุงพร้อมดูดเลือดน้อง ๆ…

เกาะรั้ว โรงเรียนนานาชาติ ในประเทศไทย

เกาะรั้ว “โรงเรียนนานาชาติ” สถานศึกษาระดับอินเตอร์ ของไทย

            อาจมีคนเคยสงสัยว่า โรงเรียนนานาชาติคืออะไร ต่างจากโรงเรียนหรือสถานศึกษาของไทยอย่างไรบ้าง วันนี้จะชวนคุณไปเกาะรั้วสถานศึกษาที่เรียกว่าโรงเรียนนานาชาติในเมืองไทยโรงเรียนนานาชาติก็คือสถานศึกษาที่ให้ความรู้แก่เด็กและเยาวชนหลากหลายเชื้อชาติ ในแถบเอเชียอาคเนย์ ข้อมูลจากสมาคมโรงเรียนนานาชาติแห่งประเทศไทยระบุว่า  ปี 2560 โรงเรียนนานาชาติ ในประเทศไทยขยายตัวเติบโตมากที่สุดเฉลี่ยร้อยละ 18-20 ซึ่งถือว่าโตแบบก้าวกระโดด โดยมีจำนวนสถานศึกษามากกว่า 175 แห่ง จำนวนครู 7,200 คน และมีโรงเรียนนานาชาติในสัดส่วนสองในสามที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ การเรียนการสอนของโรงเรียนนานาชาติ            โรงเรียนนานาชาติในบ้านเรา แบ่งออกเป็น 4 หลักสูตร ได้แก่             1.หลักสูตรแห่งสหราชอาณาจักร อังกฤษ และเวลส์  (UK) จัดการศึกษาภาคบังคับในกลุ่มอายุ 5-16 ปี และใช้เวลาสองปีสำหรับหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนต้น มีวิชาบังคับอย่างน้อย 3 วิชาคือ อังกฤษ คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ นอกนั้นคือวิชาเลือก ใช้ข้อสอบสากลร่วมกันทั่วโลก (เด็กไทยนิยมเรียนมากที่สุด)            2.หลักสูตรระบบอเมริกัน (US) ใช้ระบบการเรียนการสอนของตนเองอิงมาตรฐานระดับรัฐ และระดับชาติ ส่วนใหญ่จัดการวัดผลภายในเพื่อให้นักเรียนสะสมหน่วยกิตครบถ้วนตามระบบการศึกษาแบบอเมริกัน (เด็กไทยนิยมเรียนเป็นอันดับ…

การใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัย แตกต่างกับใน โรงเรียน หรือ วิทยาลัย อย่างไร ?

การใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัย แตกต่างกับใน โรงเรียน หรือ วิทยาลัย อย่างไร ?

               น้องๆ มัธยมหลายๆคน ที่กำลังจะเตรียมตัวก้าวเข้าไปศึกษาในมหาวิทยาลัย ในสถานะนักศึกษาหรือนิสิต ก็คงมีความกังวลในเรื่องของ การใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัย บทความนี้จะมาเล่าถึงการใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยกัน ในรั้วมหาวิทยาลัย การใช้ชีวิตประจำวันที่เปลี่ยนไป ค่อนข้างที่จะแตกต่างกับในโรงเรียน หรือวิทยาลัย เป็นอย่างไรมาดูกัน การใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยกับชีวิตประจำวันที่เปลี่ยนไป จัดตารางเรียนด้วยตนเอง ในโรงเรียนเมื่อเปิดเทอมเราก็คงจะได้ตารางเรียนที่ทางโรงเรียนได้จัดสรรมาให้เราแล้ว โดยเราไม่ต้องมานั่งคิดและจัดการกับมันเลย ซึ่งแตกต่างกันมากกับ การใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัย ที่เราจะต้องศึกษาหลักสูตรและมาจัดตารางเรียนด้วยตนเองทั้งหมด ซึ่งบางครั้งน้องปี1 อาจจะมีพี่กลุ่ม พี่รหัสหรือพี่ในคณะที่จะคอยช่วยเหลือบ้าง กิจกรรมต่างๆ การเป็นน้องปี1หรือเฟรชชี่ที่เพิ่งเข้ามาในมหาวิทยาลัย ก็มักจะมีกิจกรรมมากมาย เช่น การรับน้อง การสันทนาการ กิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ หรือค่ายอาสาต่างๆที่มีจำนวนมากในมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นสิ่งที่น้องๆปี1 สนใจมากๆ เพราะนอกจากจะได้ไปพบผู้คนใหม่ๆ ยังได้ช่วยเหลือสังคมอีกด้วย การเรียนในห้อง จากที่โรงเรียนเป็นห้องเรียนเล็กๆมีนักเรียนประมาณ 30-40 คน แต่เมื่อมาเรียนในมหาวิทยาลัยความกว้างของห้องก็ใหญ่มากขึ้น ทำให้จำนวนของผู้เรียนก็มากตามขึ้นไปด้วย สิ่งนี้อาจจะทำให้เราเสียสมาธิหรือไปสนใจเพื่อนๆในห้องมากกว่าเนื้อหาการเรียน ผู้คนมากหน้าหลายตา ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในมหาวิทยาลัย มีคนจำนวนมากกว่าในโรงเรียนเป็นหลายเท่า ซึ่งการเข้าสังคมก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จำเป็นอย่างมากในมหาวิทยาลัย เพราะเราไม่เพียงที่จะเจอแค่เพื่อนในสาขาของเราเท่านั้น แต่การเรียน การทำกิจกรรมต่างๆเราก็ยังจะต้องพบเจอกับผู้อื่นอีกมากมาย ความรับผิดชอบของ…

บทบาทของคุณครู มีทำหน้าที่ และมีปัจจัย อะไรต่อนักเรียนบ้าง ?

บทบาทของคุณครู มีทำหน้าที่ และมีปัจจัย อะไรต่อนักเรียนบ้าง ?

               คุณครู เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้นักเรียนรู้สึกอยากมาโรงเรียน หรือไม่อยากมาโรงเรียน และรู้สึกว่าอยากเรียนหนังสือที่โรงเรียนหรือไม่ ซึ่งนอกจากคุณครู มีหน้าที่ในการสอนหนังสือ ให้ความรู้แก่เด็กนักเรียนแล้วนั้น คุณครูก็ยังจะต้องมีการสอนคุณธรรม จริยธรรมและมารยาทต่างๆในแก่เด็กๆอีกด้วย แต่ใน บทบาทของคุณครู บางท่านก็มีท่าทีที่ไม่เหมาะสมต่อเด็กๆ จนทำให้เด็กนักเรียนรู้สึกไม่ชอบ ไม่มีความสุขในการมาโรงเรียน จนทำให้เด็กบางคนอาจจะมีการแสดงกิริยามารยาทที่ไม่เหมาะสมต่อคุณครูได้ บทบาทของคุณครูที่มีอิทธิพลต่อเด็กนักเรียน                ในปัจจุบันเรามักจะเห็นข่าวที่เกี่ยวกับครูและนักเรียนในแง่ที่ไม่ดี เช่น ครูข่มขืนนักเรียน ครูเหยียดนักเรียนที่เป็นเพศที่สาม หรือครูที่ทำร้ายร่างกายนักเรียน เป็นต้น ซึ่งข่าวเหล่านี้อาจจะทำให้ผู้ปกครองมีความเป็นห่วงในการที่จะส่งลูกหลานไปโรงเรียน และถ้าหากนักเรียนเป็นผู้ฟังหรือติดตามข่าวสารด้วยตนเอง จะยิ่งทำให้นักเรียนและเด็กๆมีความหวาดกลัวในการไปโรงเรียนมากยิ่งขึ้นด้วย อีกทั้ง บทบาทของคุณครู ที่ไม่ดีนั้น อาจจะเป็นภัยต่อสังคมอีกด้วย เพราะคุณครูก็เป็นคนๆหนึ่งที่จะต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย แต่ด้วยหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบที่มีต่อเด็กนักเรียน การเป็นคุณครูจึงไม่สามารถที่จะเป็นกันได้อย่างง่ายดาย ในความเป็นจริงแล้วนั้นคุณครูมีทั้งที่เป็นคนดีและไม่ดี แต่อยากให้ทางโรงเรียนมีความเข้มงวดในการรับคุณครูเพื่อมาสอนในโรงเรียนต่างๆมากกว่าเดิม เพื่อให้โรงเรียนนั้นมีความปลอดภัย เหมาะสำหรับเป็นที่สร้างเสริมและพัฒนาให้แก่เด็กๆ เยาวชนให้เติบโตไปเป็นคนที่ดี มีคุณธรรม จริยธรรมที่ดีในสังคม และเปรียบเสมือนบ้านหลังที่สองที่เคยได้กล่าวๆกันไว้เมื่อก่อน                การเป็นคุณครู ควรจะอยากเป็น อยากประกอบอาชีพนี้จริงๆ รู้สึกถึงจิตวิญญาณของความเป็นครู ไม่ใช่เพียงแค่สามารถถ่ายทอดความรู้ให้แก่เด็กนักเรียนได้ ก็มาเป็นคุณครูแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดมหัน…

ความรักในวัยเรียน ไม่ใช้เรื่องผิดแต่ต้องรู้รักให้เป็น

ความรักในวัยเรียน เรื่องที่น่าเป็นห่วง ของนักเรียน ที่กำลังเข้าสู่วัยรุ่น

เรื่องของหัวใจ เป็นเรื่องที่ห้ามความรู้สึกกันไมได้ ซึ่งความรักสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา และสามารถเกิดได้ในทุกๆเพศทุกๆวัย โดยเฉพาะในวัยเรียนในช่วงของน้องวัยรุ่น เป็นวัยที่กำลังจะโตเป็นผู้ใหญ่ มักมีความอยากรู้อยากเห็น การลองผิดลองถูกอยู่เสมอ ทำให้การมี ความรักในวัยเรียน จึงมีความเสี่ยงที่จะออกนอกลู่นอกทางได้สูง จึงเป็นวัยที่น่าเป็นห่วง ความรักในวัยเรียนเรื่องน่าห่วงของน้องๆวัยรุ่น ในวัยเรียนช่วงวัยรุ่นนั้น มักจะเจอกับคนมากมายหลายประเภท มากหน้าหลายตาอยู่เสมอ ทำให้เกิดอาการตกหลุมรักกันได้ง่ายดาย ซึ่งการมี ความรักในวัยเรียน ไม่ใช่สิ่งที่ผิดหรือน่าอายเลย แต่การมีความรักควรที่จะต้องแสดงออกให้ถูกต้อง ซึ่งความรักสำหรับบางคนคือการให้ เราสามารถมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้กับคนที่เรารักได้ ความคิดนี้อาจนำไปสู่การให้บางอย่างที่ยังไม่ถึงเวลาอันควร นั่นก็คือ การมีเพศสัมพันธุ์ก่อนวันอันควร ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สมควร แต่ถ้าไม่สามารถห้ามได้แล้วก็ควรที่จะศึกษาการคุมกำเนิดอย่างถูกวิธีไว้ โดยในปัจจุบันในประเทศค่อนข้างที่จะเปิดมากขึ้น ดังนั้นเราควรที่จะรณรงค์ให้ทุกคนพกถุงยางอนามัยไว้ เพื่อป้องกันการท้องก่อนวัยอันควร หากพลาดพลั้งจนเกิดการท้องขึ้นมา อนาคตกลับมาเรียนอาจจะค่อนช้างยากเพราะต้องเลี้ยงลูก แต่ในปัจจุบันมีการเปิดให้มาเรียนได้แล้ว แต่ความรับผิดชอบก็ต้องมากขึ้นด้วย อีกทั้งในวัยเรียนก็ยังไม่มีรายได้จึงคิดว่าการท้องก่อนวัยอันควรไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง จะต้องถึงเวลาที่พร้อม มีหน้าที่การงานที่ดี และมีความรับผิดชอบที่สูงมากๆ เพราะจะเลี้ยงดูและรับผิดชอบชีวิตหนึ่งชีวิตเลย บางครั้งที่เด็กๆในช่วงวัยรุ่น ยังไม่เข้าใจว่าทำไมผู้ใหญ่จึงต้องห้ามไม่ให้มีเรื่องรักๆใคร่ๆในวัยเรียน เพราะผู้ใหญ่เป็นห่วงว่าเด็กๆอาจจะเสียการเรียนเพราะสนใจแต่เรื่องความรัก จนไม่สนใจการเรียน ความรักในวัยเรียน เป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบ ที่หากทำผิดพลาดไปก็จะส่งผลต่ออนาคตของเด็กๆได้ความรักในวัยเรียนต้องพากันไปในทางที่ดี ช่วยกันเรียน ติวหนังสือให้กันและกัน วางแผนอนาคตที่ดีด้วยกัน…