ภายในรั้วโรงเรียนมีเรื่องราวมากกว่าแค่ศึกษาหาความรู้ และเด็กทุกคนต้องก้าวผ่านจุดนั้นมาให้ได้ หากใครมีครอบครัวที่เข้าใจก็ถือว่าได้เปรียบหน่อย แต่ถ้าต้องแก้ปัญหาด้วยตัวเองลำพัง นี่ก็นับว่าหนักหนาพอสมควร อย่างกรณีของ เด็กหลังห้อง ที่มักจะได้รับการปฏิบัติแบบ 2 มาตรฐานเสมอ ซึ่งตรงนี้ทำให้หลายคนเปลี่ยนจากเด็กที่สนใจเรียนเป็นคนที่มีทัศนคติไม่ดีเกี่ยวกับการเรียนไปเลย ยิ่งกว่านั้นคือ บางทีครูผู้สอนก็ไม่รู้ตัวด้วยว่าสิ่งที่ทำนั้นกำลังบั่นทอนนักเรียนของตัวเองอยู่ มุมมองต่างๆ เกี่ยวกับ เด็กหลังห้อง ก่อนอื่นอยากให้ฟังมุมมองของเด็กหลังห้องกันก่อนว่า ทำไมเขาถึงอยากไปนั่งด้านหลัง แทนที่จะเป็นแถวหน้าเหมือนเด็กเรียนคนอื่นๆ มากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของเด็กที่เลือกนั่งด้านหลัง มักจะมีเหตุผลอื่นที่นอกเหนือไปจากเรื่องเรียน เช่น เป็นเด็กตัวสูงและชอบให้มีพื้นที่ข้างหลังกว้างหน่อย อยากมองเห็นบรรยากาศมุมกว้างภายในห้อง ต้องการความเป็นส่วนตัวบ้างในบางเวลา ที่นั่งด้านหลังใกล้กับหน้าต่างหรือประตูที่ทำให้รู้สึกสบายกว่า เป็นต้น แต่ในมุมมองของผู้สอนบางคน จะเพ่งเล็งว่าเด็กหลังห้องคือเด็กที่ไม่ตั้งใจเรียน และไม่ค่อยให้ความร่วมมือระหว่างที่ทำการสอน จะมีเพียงเด็กที่นั่งแถวหน้าๆ เท่านั้นที่ถามตอบอย่างสม่ำเสมอ เมื่อมีความคิดแบบนี้เป็นทุนเดิม เวลาที่แสดงออกจึงมีความแตกต่างอย่างชัดเจน ทั้งเรื่องท่าทาง น้ำเสียง และการตัดสินใจ เด็กบางคนเคยมีประสบการณ์มาสายด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่กลับถูกไล่ออกจากห้องเพียงเพราะเขานั่งด้านหลัง และครูก็เลือกจะมองว่าเขาไม่เต็มใจมาเรียน แน่นอนว่าเด็กหลังห้องที่ไม่ชอบเรียนก็มีเหมือนกัน แต่ถ้าสังเกตดูดีๆ เด็กทุกคนจะมีวิชาที่ตัวเองชื่นชอบอยู่เสมอ ที่เขาไม่ชอบเรียนก็อาจจะเป็นเพราะเนื้อหาหรือรูปแบบการสอนที่เขาเข้าไม่ถึง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาตัดสินว่าผิดหรือถูก เป็นเด็กดีหรือไม่ดี ที่สำคัญคือต้องไม่มีการตัดสินไปล่วงหน้าว่าเด็กที่นั่งด้านหลังคือเด็กไม่ตั้งใจเรียนด้วย kor-kai.com แหล่งรวมความรู้…
“บ้านคือโรงเรียนแห่งแรก พ่อแม่คือครูคนแรก” จากคำกล่าวข้างต้น พบได้ชัดเจนในช่วง โควิด 19 เนื่องจากเหล่าน้อง ๆ หนู ๆ ต้องปรับเปลี่ยนการเรียนในชั้นเรียนเป็นการเรียนผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งเป็น การเรียนรู้แบบ New Normal ซึ่งสิ่งที่ยากจะควบคุมมาก ระหว่าง สมาธิของเด็กวัยนี้ กับการจดจ่อในการเรียนออนไลน์ ผ่านหน้าจอสี่เหลี่ยมตลอดทั้งวัน ต่างจากบรรยากาศการเรียนในชั้นเรียนอย่างสิ้นเชิง การเรียนรู้แบบ New Normalการศึกษาที่เหมาะ ในยุคโควิด 19 การปิดโรงเรียนเพื่อให้นักเรียนเรียนออนไลน์จากที่บ้าน การเรียนรู้แบบ New Normalส่งผลกระทบต่อนักเรียนและผู้ปกครองอย่างมาก โดยเฉพาะ เด็กอนุบาล และเด็กประถม เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถอยู่บ้านคนเดียวหรือไม่สามารถเรียนรู้ออนไลน์ด้วยตัวเองได้ มีหลายวิธีที่ผู้ปกครองสามารถสนับสนุนการเรียนรู้ของบุตรหลานด้วยกิจกรรมง่ายๆราคาประหยัด เช่นการอ่านหนังสือ หรือการร้องเพลงกล่อมเด็กเป็นประจำ ซึ่งสามารถสนับสนุนทักษะภาษาขั้นพื้นฐานของพวกเขาได้ หรือการนำเสนอประสบการณ์ต่าง ๆ รอบตัวเรา เช่นการสำรวจชุมชนในท้องถิ่น สามารถกระตุ้นให้เกิดความอยากรู้ อยากเห็น และสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับโลก ได้เป็นอย่างดี และสนับสนุนด้านทักษะวิชาการให้เชื่อมโยงกับการใช้ชีวิต เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์และการพัฒนาทางกายภาพ เป็นการเรียนรู้ทั้งการปฏิบัติ…
โควิด-19 ได้เข้ามามีผลกระทบกับผู้คนในวงกว้างให้มีวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปรวมไปถึงในแวดวงการศึกษา ที่ต้องมีการปรับตัวตามไปด้วย แต่สำหรับเด็กนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่6 หลายกิจกรรมที่พวกเขาจะได้พบเจอและสัมผัสมันเพียงแค่ครั้งเดียวในชีวิต แต่โควิด-19 ก็ดันพรากสิ่งเหล่านั้นไปเรียบร้อย ซึ่งในวันนี้เราจะไปดูกันว่าอะไรบ้างที่โควิด-19 พรากไปจากน้องๆ นักเรียนชั้น ม.6 จนทำให้พลาดและไม่มีโอกาสได้แก้ตัวอีก กิจกรรมที่ นักเรียนชั้น ม.6 ต้องพลาด เพราะพิษโควิด-19 กิจกรรมกีฬาสี คือกิจกรรมแรกที่นักเรียนชั้น ม.6 ต้องพลาดไป เพราะสถานศึกษาเกือบทั้งหมดล้วนแต่ยกเลิกไปเพื่อความปลอดภัย ซึ่งนับว่าจะเป็นเรื่องน่าเสียดายที่กิจกรรมสำคัญนี้สำหรับนักเรียนชั้น ม.6 ที่จะมีโอกาสเป็นผู้กำกับและลงมือทำด้วยตนเอง น้องๆในรุ่นนี้จะไม่มีโอกาสได้ทำและได้ประสบการณ์ดีๆจากมัน กิจกรรม open house คือกิจกรรมต่อมาที่น้องๆหลายคนยังไม่มีโอกาสไปสัมผัส เพราะมีเพียงไม่กี่มหาลัยเท่านั้นที่จัดก่อนโควิด-19 จะระบาดรอบใหม่ ทำให้นับจากนี้หากน้องๆนักเรียนชั้น ม.6 คนไหนที่ยังไม่ได้ไป open house ก็คงไม่มีโอกาสอีกแล้ว เพราะด้วยสถานการณ์เช่นนี้ที่น่าต้องใช้เวลาอีกแรมเดือนหรือนานกว่านั้นกว่าที่ทุกอย่างจะเข้าสู่สภาวะปกติที่ไม่เสี่ยงอันตราย ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นน้องๆนักเรียน ม.6 อาจจบการศึกษาแล้ว กิจกรรมปัจฉิมนิเทศ ในภาวะปกติเมื่อน้องๆนักเรียน ม.6 ใกล้จบ จะมีงานอำลาหรือที่เรียกว่าปัจฉิมนิเทศ แต่ในยุคโควิด19แบบนี้ การจะมามอบดอกไม้ รวมตัวกันถ่ายรูป…
การเข้าแถวหน้าเสาธง ของโรงเรียนในอดีตและในปัจจุบัน มีบริบทที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่ก็ยังเชื่อว่าการเข้าแถวหน้าเสาธงจะช่วยให้เด็กมีวินัยในตนเอง เคารพกฎกติกาของโรงเรียน แต่ลืมไปว่าเมื่อสภาพสังคมเปลี่ยนแปลง การเข้าแถวหน้าเสาธงจะกลายเป็นเรื่องที่น่าเบื่อไปโดยปริยาย เนื่องด้วยเวลาเปลี่ยน แต่เหมือนการนำเสนอ การเข้าแถวหน้าเสาธง รวมทั้งเรื่องราวที่นำเสนอกลับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง และไม่เชื่อว่าจะช่วยบ่มวินัยในเด็กได้เหมือนปัจจุบัน การเข้าแถวหน้าเสาธง กับเด็กในยุคปัจจุบัน ก่อนอื่นจะต้องแยกระหว่าง การเข้าแถวหน้าเสาธง กับวินัยในโรงเรียนให้ออกเสียก่อน เนื่องด้วยการเข้าแถวในปัจจุบันไม่ครอบคลุมเนื่องด้วยจากสถานการณ์เสี่ยงต่อติดเชื้อ สภาพแดดร้อนในประเทศไทย และการจัดแถวที่สื่อให้เห็นด้านลบในสายตาชัดเจน เช่น เด็กนักเรียนเข้าแถวกลางแดด แต่ครูกลับกางร่มบังแดด แทนที่จะหาที่ร่มให้เด็กได้หลบแดดมากกว่าที่จะอ้างว่าฝึกความอดทนเสียอีก แล้วนั่นก็เป็นสองมาตรฐานระหว่างช่องว่างระหว่างวัยเพิ่มขึ้น ต่อมาในส่วนของวินัย ถ้าจะให้ดีควรแก้ไขที่โครงสร้างสังคมก่อนอันดับแรก เนื่องด้วยวินัยสามารถสร้างได้ที่โรงเรียนก็จริง แต่จะมีวินัยนั้น ครูต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเด็กและเยาวชน โดยเฉพาะการต่อแถว การตรงเวลา การรับผิดชอบต่อหน้าที่และงานสอนของตนเอง หาใช่เรียกร้องวินัยจากเด็กเพียงฝ่ายเดียวไม่ ถ้ายังเป็นเช่นนั้นอยู่ กลับสะท้อนในปัญหาการศึกษาชัดเจน ซึ่งในประเทศไทยมิได้เป็นแค่หลักสูตรการสอบเข้าเท่านั้น แต่จริยธรรม ทัศนคติที่ดีกลับไม่ได้ปลูกฝังที่ดีในผู้ใหญ่ จึงทำให้เห็นภาพในสื่อที่ไม่ดีในด้าน การเข้าแถวหน้าเสาธง ในหลายครั้ง ภาพลักษณ์ครูจะเสียความน่าเชื่อถือไปโดยปริยาย เพียงกลายเป็นผู้บังคับออกคำสั่งด้วยกฎมากกว่าที่จะใช้จิตวิทยาครู ในมุมมองของผู้เขียน การเข้าแถวอาจจะไม่ใช่เป้าหมายของการสร้างวินัยในนักเรียนอีกต่อไป แต่สิ่งที่จะสร้างวินัยที่ดีที่สุดนั่นก็คือผู้ใหญ่นี่แหล่ะ เพราะผู้ใหญ่วันนี้คือเด็กในวันวานมาก่อน และเด็กในวันนี้ก็คือผู้ใหญ่ในวันหน้าเช่นกัน …
เชื่อว่าหลายคนคงเคยเห็นการเรียกร้องให้ใส่ชุด Private หรือ การแต่งกายด้วยชุดอิสระ ในการไปโรงเรียนในช่วงหนึ่ง แต่ปัจจุบันก็ยังมีการเรียกร้องอยู่นะคะ ทว่าก็ไม่รุนแรงเหมือนหลายเดือนที่ผ่านมา ซึ่งการใส่ชุดอิสระไปเรียนถือว่าเป็นการเคารพสิทธิของแต่ละบุคคลก็จริง ทว่าในทุกองค์กรเมื่อทุกคนเติบโตขึ้น แน่นอน! แต่ละที่ทำงานย่อมมีกฎระเบียบในการแต่งกาย ดังนั้นบทความนี้จะมาเปิดอีกหนึ่งมุมมองของการ แต่งชุด Private ไปเรียน ดังนี้ 3 ข้อเสียของการ แต่งชุด Private ไปเรียน แต่งตัวแข่งกัน หลายคนคงไม่เชื่อว่าการแต่งกายอิสระจะสามารถทำให้นักเรียนแต่งตัวแข่งกัน เนื่องจากวัยรุ่นเป็นวัยที่ตองการการยอมรับจากเพื่อน ๆ และคนรอบข้าง ดังนั้นการแต่งกายให้โดดเด่นย่อมได้รับความสนใจนั้นเอง ความไม่เท่าเทียม ถ้าสังเกตดี ๆ จะทราบได้ว่าประเทศไทยมีกลุ่มคนยากจนมากกว่ากลุ่มคนมีฐานะ หากการแต่งชุดอิสระไปเรียนจะแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าแต่ละคนไม่มีความเท่าเทียม เช่น บางคนแต่งกายหรูหรา บางคนแต่งกายเสื้อผ้าซีดเก่า เป็นต้น ทว่าหากมีเครื่องแบบเฉพาะ ทุกคนแต่งกายเหมือนกันหมดก็ไม่อาจทราบได้ว่าบุคคลนั้นเป็นอย่างไร ถือว่าเป็นการสร้างความมั่นใจให้นักเรียนด้วย สิ้นเปลื้อง เพราะการ แต่งชุด Private ไปเรียน ย่อมต้องมีการเปลี่ยนเสื้อผ้าตลอด ยิ่งถ้านักเรียนเกิดการแข่งขันกัน แน่นอน! ค่าใช้จ่ายในส่วนดังกล่าวก็จะเพิ่มขึ้นด้วย จากการบอกเล่าทั้งหมดจะเห็นได้ว่าการแต่งกายอิสระใช่ว่าจะมีข้อดีเพียงอย่างเดียวนะคะ…
เนื่องจากในปัจจุบันกระแสของการเรียนต่อในต่างประเทศได้รับความนิยมมาก ส่งผลให้นักเรียนนักศึกษาหลายคนเลือกจะพัฒนาตนเองหาทางไปศึกษาต่อต่างประเทศให้ได้ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ถือว่าดีมาก ๆ แต่การเรียนต่างประเทศไม่ได้มีแต่ข้อดี ข้อเสียก็มีบ้างนะคะ ทุกคนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งในบทความนี้เป็นการพูดถึง 5 ข้อดีทำไมควร เรียนต่อในประเทศไทย ดังนี้ ข้อดีของการ เรียนต่อในประเทศไทย ค่าครองชีพไม่สูงมาก หากเตรียมค่าอาหารการกินในการ เรียนต่อในประเทศไทย และต่างประเทศจะเห็นได้ชัดเจนเลยว่าการกินการอยู่ของไทยถือว่าไม่น้อยหน้าเลย มีเงิน 100 บาท บางคนสามารถอิ่มได้ทั้งวันเลยทีเดียว อาหารที่หลากหลาย โดยในไทยอาหารหลากหลายด้วยราคาที่ถือว่านักเรียนนักศึกษาที่ต้องแบมือขอเงินผู้ปกครองสามารถเอื้อมถึงได้ หากเป็นต่างประเทศบางทีเงิน 100 บาทอาจกินได้แค่ขนมปังเท่านั้นเอง ร้านค้าเปิด 24 ชั่วโมง ในต่างประเทศบางประเทศไม่มีร้านสะดวกซื้อที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมงนะคะ แต่ในประเทศไทย ร้านข้าวโต้รุ้งเปิดให้เต็มไปหมดแถมราคาเบา ๆ สบายกระเป๋ากันเลย ความใจดี บางคนอาจมองไม่เห็นนะคะว่าคนไทยใจดี แต่เมื่อถึงยามตกทุกข์ได้ยาก อย่างช่วงโควิด – 19 ระบาดที่ผ่านมาจะเห็นได้ถึงน้ำใจของคนไทยเลยนะคะ การ เรียนต่อในประเทศไทย ไม่ต้องกังวลว่าจะอดอยากไปที่ไหนก็มีข้าวมีน้ำคอยบริการตลอดค่ะ บางร้านข้าวราดแกงแสนอร่อย 10…
ต้องยอมรับว่าองค์ความรู้ที่เด็กรุ่นใหม่ต้องการนั้นแตกต่างจากสมัยก่อนค่อนข้างมาก การเรียนในหลักสูตรเดิมๆ จึงไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป หลายวิชาเนื้อหาโบราณเกินกว่าจะใช้งานได้ หลายวิชาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะนำไปใช้อย่างไร ไหนจะกฎระเบียบที่ไม่สามารถตอบคำถามเด็กได้อีกว่าเรามีวัฒนธรรมแบบนั้นไปทำไม สาธิตธรรมศาสตร์ จึงได้มีการปรับเปลี่ยนระบบต่างๆ ของสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ใหม่ ที่ยังไม่สามารถหาโรงเรียนไหนเทียบเท่าได้ในขณะนี้ สาธิตธรรมศาสตร์ สถานศึกษา น่าเรียน อย่างแรกเลยก็คือ ทาง สาธิตธรรมศาสตร์ ให้ความสำคัญกับอิสระในการเลือกและตัดสินใจของผู้เรียนอย่างชัดเจน ตั้งแต่เรื่องการแต่งกาย ที่นี่เป็นการเรียนการสอนในระดับชั้นมัธยม แต่ไม่มีการบังคับให้ใครต้องแต่งชุดนักเรียนมา แน่นอนว่าประเด็นนี้ก็มีหลายกระแส ทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย บ้างก็ว่ามันกระตุ้นให้เด็กเกิดความรู้สึกเหลื่อมล้ำในด้านฐานะการเงิน คนที่บ้านรวยก็จะแต่งตัวดีกว่า จนอาจนำไปถึงความน้อยเนื้อต่ำใจจนกลายเป็นปมปัญหาใหม่ได้ แต่หากคิดให้ลึกลงไปอีกนิด เราจะรู้ดีว่าสมัยเด็ก เราไม่คิดเรื่องความไม่เท่าเทียมอะไรเหล่านี้มากนักหรอก ขอแค่เรียนอย่างสนุกก็พอแล้ว ต่อมาที่นับว่าเป็นเรื่องดีอย่างมาก มีการพูดถึงในลักษณะของนามธรรมมานานมากแล้ว นั่นก็คือการเรียนโดยไม่มีการวัดเกรด ทาง สาธิตธรรมศาสตร์ เลือกใช้วิธีการให้คำประเมินผลว่าผู้เรียนได้พัฒนาในส่วนไหนไปบ้างแล้ว เพื่อให้ผู้ปกครองได้รู้ถึงความเปลี่ยนแปลง แต่จะไม่เอาเกรดมาตัดสินเด็กว่าเขาดีเพียงพอหรือไม่ เวลาตอนเช้าก็ไม่ต้องเข้าแถว มีเพียงให้ร่วมกิจกรรมร้องเพลงกันเป็นบางวันเท่านั้น มาถึงเรื่องรายวิชา แน่นอนว่าเมื่อรูปแบบการเรียนการสอนเป็นแบบนี้ เนื้อหาวิชาก็ต้องเปลี่ยนให้สอดคล้องกัน โดย สาธิตธรรมศาสตร์ จะเน้นให้ผู้เรียนได้ความรู้ครบถ้วนในกลุ่มการเรียนรู้ 5…
เรื่องของความไม่ลงตัวในระบบการศึกษานับว่ามีมานานเหลือเกินแล้ว ผ่านไปกี่ยุคกี่สมัยก็แก้ไม่หายสักที ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นด้วยสาเหตุใด แต่ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะความไม่เข้าใจกันระหว่างผู้กำหนดกฎเกณฑ์กับผู้เรียนจริงๆ นั่นเอง อย่างล่าสุดก็มีกระแสเปลี่ยนแปลงช่วงเวลาของการ อวสานการปิดเทอม โดยไอเดียนี้มาจากสพฐ. ที่มองว่าอยากจะปรับแนวทางการศึกษาให้ดีขึ้น เลยมองว่าให้เด็กได้เรียนยาวรวดเดียว 8 เดือนไปเลย จากนั้นค่อยพักกันทีเดียว 4 เดือนเต็ม นโยบายแบบใหม่ สพฐ. อวสานการปิดเทอม ถึงแม้ว่าตอนนี้เรื่อง อวสานการปิดเทอม นโยบายแบบใหม่จะยังไม่ได้มีผลบังคับใช้อะไร แต่ก็มีหลายกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันพอสมควร เพราะการหยุดพักช่วงเรียนแบบเดิม คือมีปิดภาคการเรียนย่อยและปิดภาคการเรียนใหญ่ มันทำให้เด็กได้ผ่อนคลายแล้วออกไปใช้ชีวิตเพื่อทำกิจกรรมอย่างอื่นบ้าง ไม่ใช่ว่าตั้งหน้าตั้งตาเรียนกันอย่างเดียว แต่แบบเดิมก็มีปัญหาตรงที่บางโรงเรียนไม่สามารถสอนเนื้อหาให้จบทันเวลาได้ เด็กม.6 หลายคนยังไม่ได้เรียนเนื้อหาบทท้ายๆ ก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ ทางผู้ใหญ่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงมองว่า การปิดเทอมที่รวบเป็นครั้งเดียวใน 1 ปี น่าจะทำให้การเรียนรู้ของเด็กๆ ต่อเนื่องมากกว่า การเก็บเนื้อหาก็คงครบถ้วนได้ และหากมันเรียนไม่ทัน ทางโรงเรียนก็สามารถต่อเวลาในช่วงหยุดได้เล็กน้อย ซึ่งหากมองเทียบกับความเป็นจริงแล้ว นโยบาย อวสานการปิดเทอม นี้ดูจะไม่ตอบโจทย์เท่าไร เพราะมันเป็นการคิดมุมเดียวเท่านั้น คือให้ความสำคัญกับการเก็บเนื้อหาให้ครบไป ทั้งที่ความจริงมันไม่ใช่ประเด็นนั้นโดยตรง…
เมื่อเด็กรุ่นใหม่เริ่มหันมาใส่ใจในระบบการศึกษามากยิ่งขึ้น พวกเขาพยายามเรียกร้องสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองให้ได้มากที่สุด มากกว่าการทำตามวัฒนธรรมเดิม ๆ เราก็ได้เห็นสถานศึกษาหลายแห่งรับฟังพร้อมปรับเปลี่ยนเท่าที่ทำได้ เพื่อให้การศึกษาไทยก้าวหน้าไปได้จริง ๆ และ Creative room ก็เป็นหนึ่งผลผลิตจากกระบวนการเหล่านี้ เป็นห้องที่มีแนวความคิดว่า ความรู้ควรมาคู่กับความสนุก เพื่อให้ผู้เรียนได้รับความรู้แบบไม่มีขีดจำกัดจริง ๆ ทำความรู้จัก Creative room ว่ากันว่า นอกจาก Creative room จะเป็นห้องสำหรับการเรียนรู้ที่ทำลายภาพลักษณ์เดิมไปจนหมดสิ้น ไม่มีการเปิดหน้าหนังสือแล้วตั้งใจอ่านกันอย่างเคร่งเครียดเหมือนก่อน ๆ ไม่มีงานกองท่วมหัว และไม่มีการตัดสินว่าใครเก่งกว่าใคร นับเป็นห้องเรียนแห่งความเท่าเทียมอย่างแท้จริง ทุกคนจะได้ปลดปล่อยพลังความคิดสร้างสรรค์ในแบบของตัวเอง ชนิดที่ว่าไม่ต้องกลัวว่ามันจะผิดหรือถูก ใครที่เรียนเก่งและมุ่งมั่นจะไปทางด้านวิชาการก็จะมีการเรียนที่สนับสนุน ใครที่เด่นในด้านอื่น ๆ ก็มีแผนรองรับเช่นเดียวกัน ความพิเศษของห้องเรียนแบบ Creative room ก็คือเน้นให้เกิดการลงมือทำ พอกันทีกับการนั่งจดเนื้อหาเป็นวันๆ พอกันทีกับการท่องทฤษฏีที่ไม่รู้จะเอาไปใช้งานยังไง คราวนี้ทุกคนจะได้ลองทำด้วยตัวเองจริงๆ เช่น สร้างละครเวทีเพื่อใช้ภาษาอังกฤษ ทำโครงการวิทยาศาสตร์ จัดทำแผนบริหารการเงิน เป็นต้น การลองผิดลองถูกในทุกขั้นตอนจะทำให้แต่ละคนจดจำสิ่งที่ได้รับดีขึ้น…
มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาศักยภาพการเรียนรู้ของมนุษย์ องค์ความรู้ที่ได้จากผลการวิจัยนั้น เราก็สามารถนำไปต่อยอดได้หลายทาง อย่างเช่น คลื่นเสียงต่อการสร้างสมาธิ ระดับแสงที่พอเหมาะกับการเพิ่มทักษะใหม่ๆ เป็นต้น และ กลิ่นเสริมสร้างความจำ ก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย จากการทดสอบและวัดผล พบว่าลักษณะของกลิ่นแต่ละแบบ จะส่งผลต่อการตอบสนองของสมองไม่เหมือนกัน อย่างที่เราเคยได้ยินเรื่องของกลิ่นบำบัดนั่นเอง กลิ่นเสริมสร้างความจำ ช่วยกระตุ้นการเรียนรู้ได้ดี การเลือกใช้กลิ่นให้เหมาะสมจะกระตุ้นการเรียนรู้ได้มากกว่าปกติหลายเท่า แล้วก็สามารถทำได้โดยง่ายด้วยตัวเอง ไม่มีอันตรายใดๆ ขอเพียงแค่ใช้ กลิ่นเสริมสร้างความจำ ที่เป็นวัตถุดิบจากธรรมชาติก็พอแล้ว เนื่องจากเราต้องสูดดมไอระเหยอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าสารสังเคราะห์จะให้กลิ่นหอมได้เหมือนกัน แต่มันมีสรรพคุณแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง มิหนำซ้ำยังเสี่ยงต่อการระคายเคืองเยื่อโพรงจมูกอีกด้วย ว่าแต่ว่ากลิ่นอะไรบ้างที่ดีกับสมองของเรา ข้อดีของบ้านเราก็คือ เรามีวัตถุดิบธรรมชาติเยอะมากสำหรับการทำ กลิ่นเสริมสร้างความจำ ถ้าเป็นผลไม้ก็สามารถใช้ส้มสายพันธุ์ต่างๆ ได้ ถ้าเป็นพืชผักสมุนไพรก็ยิ่งมีหลากหลายมากขึ้น เช่น ใบสะระแหน่ ตะไคร้ ยูคาลิปตัส กะเพรา เป็นต้น นอกจากกลิ่นที่แตกต่างกันของแต่ละวัตถุดิบแล้ว มันก็ยังมีสรรพคุณเฉพาะตัวที่เราจะต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมด้วย บ้างก็มีส่วนช่วยเรื่องลดความวิตกกังวล ช่วยกระตุ้นระบบประสาทให้ตื่นตัวเต็มที่ ช่วยปรับคลื่นสมองให้อยู่ในช่วงแห่งการเรียนรู้ ไปจนถึงช่วยกระตุ้นให้สมองเชื่อมโยงสิ่งต่างๆ ได้ดีขึ้น …