หลายคนเลยที่ไม่ทราบว่าเรียนหนักไปเพื่ออะไร…? บางคนเรียนดี ผลการเรียนติดอันดับต้น ๆ ของห้องเรียนหรือของโรงเรียน ทว่าทำไมไม่ประสบผลสำเร็จของการทำข้อสอบเลย ทั้ง ๆ ที่จดจำเนื้อหาได้ครบถ้วนแต่กลับตอบคำถามไม่ได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เชื่อเลยว่านักเรียนหลายคนกำลังพบเจออยู่แน่นอน! โดยสาเหตุหลักที่ทุกคนจำเนื้อหาได้แต่ไม่สามารถดึงความรู้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้นั้นก็เพราะไม่เข้าใจเนื้อหาจริง ๆ นั้นเอง บทความนี้จึงรวบรวม 5 เทคนิคเรียนเก่ง ให้ทำข้อสอบได้ ดังนี้ แนะนำ เทคนิคเรียนเก่ง เรียนอย่างไรให้ทำข้อสอบได้ดี เปลี่ยนตัวหนังสอให้เป็นภาพ คำว่า “ภาพ” ในที่นี่ หมายถึง การเรียนในห้องเรียนรวมถึงกลับมาทบทวนความรู้แล้วสามารถเขียนออกมาเป็นแผนภาพความรู้หรือสามารถมองเห็นภาพความเชื่อมโยงของเนื้อหาได้ในอากาศ เทคนิคเรียนเก่ง หากทุกคนสามารถทำในลักษณะนี้ได้รับรองการเรียนปัง! เชื่อมโยงความรู้ได้ การเชื่อมโยงความรู้คือการนำความรู้ที่เคยเล่าเรียนมาในอดีตใช้เป็นเหตุผลในการพิจารณาคำตอบได้นั้นเอง สอนเพื่อน หลายคนเมื่อเรียนเข้าใจแล้วเกิดอาการหวงวิชา ซึ่งการหวงวิชาเป็นสิ่งที่ไม่ดีเลยนะคะ ทุกคนต้องคิดใหม่ว่า…การสอนเพื่อนเป็นการทบทวนความรู้เพราะในเนื้อหาบางครั้งทุกคนไม่สามารถเข้าใจได้ 100% หรือหลงลืม แต่เมื่อสอนเพื่อนไป อ้าว! ตรงนี้ทุกคนไม่สามารถตอบเพื่อนได้ก็ต้องไปหาคำตอบมาส่งผลให้ความรู้ของทุกคนมีแต่เพิ่มพูน ข้อนี้เป็น เทคนิคเรียนเก่ง ของนักเรียนหัวกะทิเลยนะคะ ทบทวนโดยไม่ต้องอ่านหนังสือ ห้ามจดสรุปเป็นตัวหนังสือยาว ๆ คำว่า “สรุป” มันต้องกระชับ…
เนื่องจากในปัจจุบันทุกคนไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่า “การศึกษา” ไม่ใช่สิ่งสำคัญในการประกอบอาชีพ นักเรียนนักศึกษาในประเทศไทยใช้เวลากว่า 8 ชั่วโมงในการเล่าเรียนเพื่อนำความรู้ไปต่อยอดในระดับชั้นที่สูงขึ้นไป ทว่านักเรียนนักศึกษาหลายคนทุ่มเททั้งพลังกายพลังใจแต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็ไม่เป็นอย่างหวัง ผลการเรียนตก! เครียด! จะเพิ่มเกรดอย่างไร…? บทความนี้มี วิธีเพิ่มเกรด 3.5+ ง่าย ๆ ฉบับคนขี้เกียจมาแนะนำ แนะนำ วิธีเพิ่มเกรด 3.5+แบบง่าย ๆ ตั้งใจเรียนในห้องเรียน เป็นวิธีเพิ่มเกรด 3.5+แบบง่ายๆ ด้วยการฟังคุณครูสอนมาก ๆ ในห้องสามารถทำให้นักเรียนนักศึกษาไม่ต้องอ่านหนังสือหนัก ๆ ก่อนสอบก็เชื่อมโยงเนื้อหาถึงกันได้และยังเป็นความรู้ความเข้าใจที่ฝังแน่นในสมองที่คงทนมาก ๆ ทบทวนความรู้ การทบทวนความรู้ในที่นี่ คือ หากในเวลาเรียนทุกคนยังไม่เข้าใจอย่างถี่ถ้วนให้กลับมาอ่านหรือทำโจทย์ปัญหาทบทวนมาก ๆ และควรทำวันต่อวันทันที เพราะนักเรียนต้องเรียนหนังสือทุกวัน แต่ละวันมีการจัดการเรียนการสอนที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นควรตั้งใจทบทวนแต่ละวันให้ครบ ส่งงานให้ครบทุกรายวิชา ต้องบอกก่อนว่าภาระงานแต่ละชิ้นทุกคนอย่ามองข้าม! โดยอัตราส่วนการเก็บคะแนนจะแบ่งเป็นการสอบ 50 คะแนน ภาระงาน 50 คะแนน หากทุกคนสามารถกวาดคะแนนภาระงานได้ครบถ้วน ตั้งใจสอบอีก 30…
ในวัยเรียนการมีสมุดบันทึกความรู้หรือสมุดสรุปแต่ละวิชาเป็นที่ยอดนิยมมาก ๆ เพราะสมุดบันทึกต่าง ๆ สามารถช่วยให้นักเรียนนักศึกษาหรือแม้แต่คนทำงานทั่วไปเข้าใจในเนื้อหาความรู้หรือภาระงานได้ง่ายดายด้วยเวลาอันสั้น แต่สมุดจดบันทึกไม่ใช่ทุกเล่มไปที่น่าอ่าน หลายคนคงเคยประสบปัญหาสรุปองค์ความรู้ด้วยตนเองแต่ไม่อยากอ่านเพราะสมุดดูไม่น่าสนใจเท่าไหร่… ยิ่งคนที่ไม่หัวด้านศิลปะเลยการตกแต่งให้สมุดบันทึกงดงามเป็นได้ยาก วันนี้เราจึงรวบรวมเทคนิคสร้าง สมุดจดบันทึก ให้น่าอ่าน ดังนี้ รวบรวม เทคนิคสร้าง สมุดจดบันทึก ให้น่าอ่าน วาดกรอบหัวข้อให้น่ารัก การวาดกรอบใน สมุดจดบันทึก ที่หัวข้อให้ดูโดดเด่นสะดุดตาสามารถเพิ่มความสนใจในเนื้อหาได้เป็นอย่างดี ถ้าแต่งแต้มสีสันเข้าไปอีกสักหน่อย รับรองปัง! ของตกแต่งต้องครบ ของตกแต่งที่ว่าไม่จำเป็นต้องวดเองก็ได้นะคะ ใครไม่ถนัดด้านศิลปะแนะนำว่าซื้อสติ๊กเกอร์รูปภาพที่ตนเองชอบหรือเกี่ยวกับเนื้อหามาแปะตามกรอบหรือปิดช่องว่างให้พอดูสวยงาม ข้อควรระวัง คือ ห้ามติดของตกแต่งมากไปจนดูรกนะคะ จะดูไม่น่าอ่านนั้นเอง ทำสัญลักษณ์แต่ละหัวข้อย่อย การจดสรุป แน่นอน! มีหัวข้อหลังย่อมมีหัวข้อย่อย การทำให้หัวข้อย่อยเป็นที่สนใจควรมีการตกแต่งเล็กน้อยให้ดูเด่นขึ้นมา หัดวาดภาพ การทำ สมุดจดบันทึก ไม่ใช่ว่าทุกคนไม่มีความตึงเครียด ดังนั้นการได้วาดภาพระบายสีเองบนสมุดบันทึกสามารถผ่อนคลายอารมณ์เครียดลงได้แถมทุกตัวอักษรที่ลงมือเขียนเองจนถูกสมองจดจำได้ในระยะยาวอีกด้วย แต่ใด ๆ เลยนะคะ ไม่ว่าทุกคนจะตกแต่ง สมุดจดบันทึก สมุดสรุปวิชาดีขนาดไหน หากเนื้อหายังไม่วางเป็นระบบก็ไม่สามารถเพิ่มพูนความรู้ของทุกคนได้เช่นกัน ดังนั้นทุกคนควรอ่านเนื้อหาในรายวิชานั้นให้ถี่ถ้วนและเขียนสรุปความรู้จากสมองของทุกคนที่เข้าใจ เรียงหัวข้อให้เป็นระบบสอดคล้องกันทั้งเรื่อง สมุดบันทึก…
เรื่องของความไม่ลงตัวในระบบการศึกษานับว่ามีมานานเหลือเกินแล้ว ผ่านไปกี่ยุคกี่สมัยก็แก้ไม่หายสักที ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นด้วยสาเหตุใด แต่ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะความไม่เข้าใจกันระหว่างผู้กำหนดกฎเกณฑ์กับผู้เรียนจริงๆ นั่นเอง อย่างล่าสุดก็มีกระแสเปลี่ยนแปลงช่วงเวลาของการ อวสานการปิดเทอม โดยไอเดียนี้มาจากสพฐ. ที่มองว่าอยากจะปรับแนวทางการศึกษาให้ดีขึ้น เลยมองว่าให้เด็กได้เรียนยาวรวดเดียว 8 เดือนไปเลย จากนั้นค่อยพักกันทีเดียว 4 เดือนเต็ม นโยบายแบบใหม่ สพฐ. อวสานการปิดเทอม ถึงแม้ว่าตอนนี้เรื่อง อวสานการปิดเทอม นโยบายแบบใหม่จะยังไม่ได้มีผลบังคับใช้อะไร แต่ก็มีหลายกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันพอสมควร เพราะการหยุดพักช่วงเรียนแบบเดิม คือมีปิดภาคการเรียนย่อยและปิดภาคการเรียนใหญ่ มันทำให้เด็กได้ผ่อนคลายแล้วออกไปใช้ชีวิตเพื่อทำกิจกรรมอย่างอื่นบ้าง ไม่ใช่ว่าตั้งหน้าตั้งตาเรียนกันอย่างเดียว แต่แบบเดิมก็มีปัญหาตรงที่บางโรงเรียนไม่สามารถสอนเนื้อหาให้จบทันเวลาได้ เด็กม.6 หลายคนยังไม่ได้เรียนเนื้อหาบทท้ายๆ ก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ ทางผู้ใหญ่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงมองว่า การปิดเทอมที่รวบเป็นครั้งเดียวใน 1 ปี น่าจะทำให้การเรียนรู้ของเด็กๆ ต่อเนื่องมากกว่า การเก็บเนื้อหาก็คงครบถ้วนได้ และหากมันเรียนไม่ทัน ทางโรงเรียนก็สามารถต่อเวลาในช่วงหยุดได้เล็กน้อย ซึ่งหากมองเทียบกับความเป็นจริงแล้ว นโยบาย อวสานการปิดเทอม นี้ดูจะไม่ตอบโจทย์เท่าไร เพราะมันเป็นการคิดมุมเดียวเท่านั้น คือให้ความสำคัญกับการเก็บเนื้อหาให้ครบไป ทั้งที่ความจริงมันไม่ใช่ประเด็นนั้นโดยตรง…
เคยเจอปัญหานี้กันบ้างไหม เตรียมตัวมาอย่างดี เวลาสอบก็ตั้งใจทำ ข้อสอบ อย่างสุดความสามารถ ข้อไหนคิดออกก็ลงมือแก้โจทย์นั้นก่อน ข้อไหนทำไม่ได้ก็ข้ามไปเพื่อความรวดเร็ว และถ้าข้อไหนไม่แน่ใจก็ใช้วิธีตัดตัวเลือกจนเหลือแค่ 2 ข้อ เอาไว้ตัดสินใจในวินาทีสุดท้าย เรื่องทำได้หรือไม่ได้ก็ส่วนหนึ่ง แต่ที่เจ็บใจมากสุดก็คือการ เลือกตอบในข้อที่ถูกแล้ว พอเวลาตรวจทานซ้ำกลับเปลี่ยนไปเลือกข้อผิด ช้ำใจยิ่งกว่าทำไม่ได้เสียอีก ใครที่เจอกับเหตุการณ์แบบนี้บ่อยๆ ลองใช้วิธีเหล่านี้ดู ปัญหาการแก้ ข้อสอบ จากถูกเป็นผิด จะหมดไปด้วยวิธีเหล่านี้ จำไว้ว่าการตัดสินใจครั้งแรกมีเปอร์เซ็นต์ถูกมากกว่าเสมอ อันนี้เราพูดถึงกรณีที่ค่อนข้างมั่นใจในการทำ ข้อสอบ นั้นๆ หากในครั้งแรกที่แก้โจทย์ เรารู้สึกว่าลังเลอยู่แค่เล็กน้อย เวลาตรวจทานให้ข้ามข้อนั้นไปได้เลย เพียงแค่ดูว่าทำครบถ้วนแล้วก็พอ อย่าย้ำคิดย้ำทำ อีกอย่างหนึ่งคือตอนที่เราคิดซ้ำสมองก็เริ่มล้าแล้วด้วย โอกาสผิดจึงสูง เลือกทำโจทย์อัตนัยที่พอทำได้แล้วใช้เวลามากก่อน ยิ่งโจทย์ใน ข้อสอบ ยากเท่าไร เราก็ยิ่งต้องใช้สมองมากเท่านั้น การเก็บข้อยากไว้ทำช่วงท้ายๆ จึงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก เว้นเสียแต่เราจะทำไม่ได้อยู่แล้ว ก็ปล่อยทิ้งไปได้เลย ไปเลือกเก็บเอาข้อที่ทำได้จะดีกว่า ทีนี้เมื่อทุ่มเทสมาธิในการหาคำตอบไปแล้ว ให้ตัดใจวัดดวงไปเลย ถูกก็ถูก ไม่ถูกก็แล้วไป…
เคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมเพื่อนร่วมชั้นที่ได้เกรดดีๆ หลายคน ถึงดูไม่ค่อยตึงเครียดเหมือนกับเราในช่วงเวลาสอบ ราวกับว่ามันเป็นเรื่องง่ายดายเหลือเกิน ขณะที่เราอยากจะเพิ่มเกรดให้ดีกว่าเดิม ก็ตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือมากขึ้น ติวกับเพื่อนมากขึ้น อดหลับอดนอนมากขึ้น สุดท้ายคะแนนก็ไม่ทิ้งห่างจากที่เคย มิหนำซ้ำบางวิชายังคะแนนต่ำกว่ามาตรฐานของตัวเองไปอีก ถ้าทุ่มสุดตัวขนาดนี้แล้วยังไม่ได้ผล ก็คงต้องมี เทคนิคเพิ่มเกรด และมาวางแผนแบบที่เด็กเก่งเขาทำกันบ้างแล้วนะ แนะนำ เทคนิคเพิ่มเกรด ให้กับเด็กๆ ที่จริงจังกับการเรียน จุดสำคัญที่มีเด็กไม่กี่คนทำอย่างจริงจังในการเพิ่มเกรดก็คือ เทคนิคเพิ่มเกรด ด้วยการให้น้ำหนักกับคอร์สเซเลบัส หรือแผนการเรียนตลอดทั้งเทอม ปกติแล้วครูจะแจกให้ในวันแรกของการเรียน เราจะได้รู้ว่ามีเนื้อหาเรื่องอะไรบ้าง จะแบ่งวิธีการเก็บคะแนนเป็นอย่างไร และนี่แหละคือเคล็ดลับที่ช่วยให้เราไม่ต้องทำงานหนักเกินไป เพียงแค่รู้จักวางแผนให้เหมาะสมกับเป้าหมาย แล้วก็ทำตามแผนนั้นอย่างเคร่งครัด ตัวอย่างใน เทคนิคเพิ่มเกรด จากการวิเคราะห์คอร์สเซเลบัสก็คือ ให้ดูว่ามีการเก็บคะแนนยิบย่อยรายทางมากน้อยแค่ไหน คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ แล้วประเมินควบคู่ไปกับความยากง่ายของเนื้อหา เราจะเก็บได้มากแค่ไหน ตรงนี้ยิ่งได้มากก็จะผ่อนแรงตอนสอบไปเยอะ หลายคนได้เกรด 3 ก่อนถึงวันสอบด้วยซ้ำไป การสอบกลางภาคก็สำคัญ ต้องดูว่าเนื้อหาส่วนไหนจะออกสอบบ้าง เราก็ตั้งใจเรียนและทำความเข้าใจบทนั้นแต่เนิ่นๆ อีกอย่างหนึ่งคือ ให้รู้ว่า เทคนิคเพิ่มเกรด…
เมื่อเด็กรุ่นใหม่เริ่มหันมาใส่ใจในระบบการศึกษามากยิ่งขึ้น พวกเขาพยายามเรียกร้องสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองให้ได้มากที่สุด มากกว่าการทำตามวัฒนธรรมเดิม ๆ เราก็ได้เห็นสถานศึกษาหลายแห่งรับฟังพร้อมปรับเปลี่ยนเท่าที่ทำได้ เพื่อให้การศึกษาไทยก้าวหน้าไปได้จริง ๆ และ Creative room ก็เป็นหนึ่งผลผลิตจากกระบวนการเหล่านี้ เป็นห้องที่มีแนวความคิดว่า ความรู้ควรมาคู่กับความสนุก เพื่อให้ผู้เรียนได้รับความรู้แบบไม่มีขีดจำกัดจริง ๆ ทำความรู้จัก Creative room ว่ากันว่า นอกจาก Creative room จะเป็นห้องสำหรับการเรียนรู้ที่ทำลายภาพลักษณ์เดิมไปจนหมดสิ้น ไม่มีการเปิดหน้าหนังสือแล้วตั้งใจอ่านกันอย่างเคร่งเครียดเหมือนก่อน ๆ ไม่มีงานกองท่วมหัว และไม่มีการตัดสินว่าใครเก่งกว่าใคร นับเป็นห้องเรียนแห่งความเท่าเทียมอย่างแท้จริง ทุกคนจะได้ปลดปล่อยพลังความคิดสร้างสรรค์ในแบบของตัวเอง ชนิดที่ว่าไม่ต้องกลัวว่ามันจะผิดหรือถูก ใครที่เรียนเก่งและมุ่งมั่นจะไปทางด้านวิชาการก็จะมีการเรียนที่สนับสนุน ใครที่เด่นในด้านอื่น ๆ ก็มีแผนรองรับเช่นเดียวกัน ความพิเศษของห้องเรียนแบบ Creative room ก็คือเน้นให้เกิดการลงมือทำ พอกันทีกับการนั่งจดเนื้อหาเป็นวันๆ พอกันทีกับการท่องทฤษฏีที่ไม่รู้จะเอาไปใช้งานยังไง คราวนี้ทุกคนจะได้ลองทำด้วยตัวเองจริงๆ เช่น สร้างละครเวทีเพื่อใช้ภาษาอังกฤษ ทำโครงการวิทยาศาสตร์ จัดทำแผนบริหารการเงิน เป็นต้น การลองผิดลองถูกในทุกขั้นตอนจะทำให้แต่ละคนจดจำสิ่งที่ได้รับดีขึ้น…
การเรียนแบบ Homeschool ถือเป็นการเรียนการสอนอย่างหนึ่ง ที่อยู่ในหลักสูตรของการศึกษาของไทย อีกทั้งทั่วโลกเองก็ได้มีการรับรองการเรีนยการสอนแบบ Homeschool นี้ด้วยเหมือนกัน โดยหลักสูตรแบบนี้สามารถที่จะเรียนที่ได้บ้านได้เลย และไม่ต้องเดินทางมาโรงเรียนทุกวัน นอกจจากนี้ในเรื่องของเนื้อหาการเรียนก็จะค่อนข้างแตกต่างกับหลักสูตรในโรงเรียนปกติ แต่เด็กที่เรียนหลักสูตรนี้ ก็สามารถไปสอบหรือเทียบโอนการเรียนเหมือนเด็กทั่วไปได้เลย แนวทาง หลักสูตร Homeschool โดยหลักสูตรของ Homeschool ได้ถูกพัฒนามาจากการเรียนการสอนแบบบูรณาการณ์ ที่จะเน้นให้เด็กได้ใช้ทักษะในการลงมือทำด้วยตัวเอง และพร้อมที่เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว แต่ก็จะมีการเน้นการสอนในเรื่องของวิชาการเสริมเข้าไปด้วย เพื่อเด็กได้เรียนรู้ในตำราเรียนเหมือนกับเด็กที่ไปโรงเรียน โดยผู้ปกครองเองก็ต้องจัดตารางการเรียนการสอนในแต่ละวัน ให้เหมาะสมกับพวกเขา ซึ่งการจัดการในการวางแผนการเรีนยแบบ Homeschool นี้ ผู้ปกครองจะต้องมีความรับผิดชอบเป็นอย่างมาก เพราะในแต่วันนอกจากจะมีการเรียนการสอนแบบวิชาการแล้ว ก็ต้องคอยจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบอื่น ๆ เสริมเข้าไปอีกด้วย เพราะไม่ใช่ว่าจะปล่อยปะละเลยได้ ซึ่งผู้ที่เรียนแบบHomeschool ก็ต้องผ่านการประเมิณหรือแบบทดสอบเหมือนกัน อีกทั้งนี้ในหนึ่งสัปดาห์ก็ต้องไปเรียนกับคุณครูด้วยเช่นกัน เพื่อติวเกี่ยวกับวิชาที่ทางกระทรวงเขาได้กำหนดมาให้ และการเรียนแบบ Homeschool คือการเรียนที่บ้าน ซึ่งใครหลายคนคิดว่าสบาย แต่ใช้ว่าใครก็จะเรียนหลักสูตรนี้ได้ เนื่องจากว่าหลักสูตรHomeschool จะเหมาะกับเด็กที่อาจจะมีปัญหา…
งานนี้เราไม่ได้ยกเรื่องมาพูดกันลอยๆ เกี่ยวกับ ภาวะสิ้นหวังในการเรียน ของเด็ก เพราะมีการวิจัยในเชิงจิตวิทยากันอย่างจริงจัง ก่อนหน้านี้เด็กวัยเรียนมักจะมีปัญหาความเครียดได้ง่าย พอเครียดมากก็รับมือไม่ไหวแล้วไม่รู้จะหาทางออกอย่างไร เหมือนกับที่เราได้เห็นกรณีของเด็กที่คิดจะฆ่าตัวตายเพียงแค่เกรดตกมาไม่กี่จุด และเด็กที่มีอาการซึมเศร้าเนื่องจากทำเป้าหมายด้านการเรียนไม่สำเร็จตามความคาดหวังของพ่อแม่ ปัญหา ภาวะสิ้นหวังในการเรียน ของเด็ก จากความเครียดในวันนั้น ต่อยอดมาถึง ภาวะสิ้นหวังในการเรียน ในวันนี้ เวลาพูดถึงความเครียดของเด็ก มันจะมีสโคปค่อนข้างกว้าง กลุ่มของเด็กที่มีปัญหาก็หลายหลาย เด็กหลังห้องก็เครียดได้ เด็กโอลิมปิกก็เครียดได้เหมือนกัน แต่สำหรับภาวะสิ้นหวังนี้ มันจะเจาะจงไปที่เด็กหัวปานกลางถึงเด็กหัวช้า คิดอ่านตามเพื่อนไม่ค่อยทัน แม้ว่าจะพยายามศึกษาเพิ่มเติมด้วยตัวเองแล้วก็ตามที สิ่งที่ผู้ใหญ่ในวงการการศึกษาต้องตระหนักในเรื่องของการศึกษาให้มากขึ้นก็คือ ปัจจัยหลักของ ภาวะสิ้นหวังในการเรียน มาจากการสอบวัดระดับ ทุกครั้งที่มีการสอบ เด็กจะตึงเครียดกันมาก ไหนจะต้องจดจำเนื้อหา ไหนจะต้องฟันฝ่าเพื่อไม่ให้เป็นลำดับท้ายๆ ของชั้น หรือไม่ให้ตัวเองได้เกรดต่ำกว่าที่คาดหวัง ข้อดีของความเครียดตรงนี้ก็คือ มันกระตุ้นให้เด็กลุกขึ้นมาตั้งเป้าและพยายามทุกวิถีทางให้ไปถึงเป้านั้นได้ หลายคนจึงมีพัฒนาการที่ดีขึ้น ขณะเดียวกันก็มีอีกหลายคนที่ตั้งเป้าการเรียนการศึกษาไว้เท่าไรก็ไม่เคยไปถึงได้ เรียนในห้องก็แล้ว เรียนพิเศษก็แล้ว ดูเหมือนจะไม่มีอะไรดีขึ้น เขาจึงเริ่มรู้สึกว่าเขาช่วยเหลือตัวเองไม่ไหวแล้ว พาลไปถึงการแก้ปัญหาในจุดอื่น คือเสื่อมศรัทธาในตัวเอง กลายเป็น…
การประสบความสำเร็จในด้านการเรียน ใช้เพียงแค่เทคนิคในการพัฒนาทักษะ พัฒนาสมอง และเคล็ดลับการเรียนต่างๆ จากรุ่นพี่และสถาบันติว มันไม่เพียงพอ จำเป็นต้องมีระดับความสุขที่เหมาะสมในทุกครั้งที่เกิดการเรียนรู้ด้วย ซึ่ง PERMA Model ก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งในการสร้างความสุขที่น่าสนใจ สามารถปรับใช้ได้กับทุกเรื่องในชีวิต ไม่ได้เฉพาะเจาะจงกับการศึกษาของเด็กๆ เท่านั้น และจากสถิติที่ผ่านมา พบว่าผู้ที่ใช้แนวทางนี้มีค่าความสุขเพิ่มขึ้นในระยะเวลาอันสั้น ใจความหลักของ PERMA Model หากสรุปใจความหลักของ PERMA Model ให้เข้าใจได้ง่าย มันก็คือการมองโลกในแง่ดี แล้วอาศัยองค์ประกอบแวดล้อมเข้ามาช่วยสนับสนุน คำว่า PERMA เป็นการรวมของอักษรที่มีความหมายเฉพาะตัว ได้แก่ ตัวอักษร P- Positive Emotion ตัวอักษร E- Engagement ตัวอักษร R- Relationships ตัวอักษร M- Meaning และสุดท้ายตัวอักษร A- Accomplishments เหมือนกับการแบ่งเป็นหมวดหมู่ 5 หมวด…