ความรู้

ความรู้นอกตำรา ขั้นตอนการทำแคน เครื่องดนตรี ของถิ่นอีสาน

ความรู้นอกตำรา ขั้นตอนการทำแคน เครื่องดนตรี ของถิ่นอีสาน

เครื่องดนตรีประจำถิ่นอีสานและลาวอย่างแคนนั้น ทราบหรือไม่ว่า ขั้นตอนการทำแคน ไม่ง่ายเลย อีกทั้งยังเป็นการพิสูจน์คุณภาพฝีมือของช่างทำแคนอีกด้วย ที่กว่าจะได้แคน 1 ตัว ต้องใช้เวลาเกือบ 2 สัปดาห์ ซึ่งจะต้องผ่านกรรมวิธีอะไรบ้าง วันนี้ได้นำมาสรุปแล้วด้านล่างนี้ ขั้นตอนการทำแคน เครื่องดนตรีเสียงสวรรค์ ของถิ่นอีสาน ขั้นตอนการทำแคนขั้นตอนแรกคือการออกไปหาไม้ซาง หรือเรียกในภาษาภาคกลางคือ ลำไผ่ไซส์เล็ก ซึ่งอยู่ตามซอกระหว่างหุบเขา โดยจะต้องตัดและวางทิ้งไว้แรมเดือน เพื่อให้เนื้อไม้ซางแห้งสนิท  ปัจจุบันไม้ชนิดนี้หาได้ยากมากในประเทศไทย ตรงข้ามกับประเทศลาวและเวียดนามที่ยังมีอยู่มาก ทำให้ปัจจุบันช่างทำแคนนิยมซื้อไม้ซางจากลาวเพื่อความสะดวก ขั้นตอนการทำแคนขั้นตอนที่2 คือการคัดเลือกไม้ซาง โดยช่างแคนจะต้องคัดเลือกไม้ซางในขนาดที่ไม่บางเกินไปและไม่หนาเกินไป เพราะจะทำให้เป่ายากและเสียงเพี้ยน หลังจากได้ไม้ที่ต้องการแล้วจะต้องนำเหล็กร้อนมาเจาะบ่องไม้ซางให้ทะลุถึงกัน แล้วใช้ไม้กระดานดัดให้ไม้ซางตรง ขั้นตอนการทำแคนขั้นตอนที่3 คือการตีเงิน  ช่างทำแคนจะต้องนำเงินไปเผาไฟ แล้วนำมาตีให้บางมากที่สุด ซึ่งนับว่าเป็นขั้นตอนที่ใช้เวลาในการทำนาน จากนั้นนำลิ้นเงินมาใส่ในลำไม้ซางเพื่อทำหน้าที่เป็นลิ้นแคนให้เกิดเสียง โดยจะต้องมีการทดลองเป่า ว่าเสียงได้ระดับที่ต้องการหรือยัง  ขั้นตอนการทำแคนขั้นตอนที่4 ช่างแคนจะต้องไปหาแก่นไม้ โดยเฉพาะแก่นไม้คูน ที่จะขุดรากขึ้นมาแล้วทำการล็อคขนาดให้พอดี เพื่อเป็นรังเพลิงใส่ไม้ซาง ไม่เพียงเท่านั้น ช่างแคนจะต้องไปหาขุดรังมดที่อยู่ตามพื้นดินเพื่อเอาขี้สูดมายาเต้าแคน ไม่ให้ลมหลุดรอดออกมาได้ ขั้นตอนการทำแคนขั้นตอนที่5 คือการประกอบแคน ช่างจะเริ่มจากเรียงไม้ใส่รังเพลิงจนครบ…

การส่งเสริม พัฒนาการทางสมอง ทั้ง 5 ด้านง่าย ๆ ที่คุณครูไม่ควรพลาด

การส่งเสริม พัฒนาการทางสมอง ทั้ง 5 ด้านง่าย ๆ ที่คุณครูไม่ควรพลาด

               คำว่า “คุณครู” ไม่ได้มีหน้าที่สอนศิษย์ให้เข้าใจในเนื้อหาสาระหรือเป็นแม่พิมพ์พ่อพิมพ์อย่างเดียว ทว่าความเป็นครูที่ดี ควรเสริมสร้างพัฒนาการในทุก ๆ ด้านของนักเรียนให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด เนื่องจากนักเรียนไทยใช้เวลาในการอยู่โรงเรียนมากกว่าอยู่บ้าน ใช้ชีวิตทั้งหมดของวันไปกับการเรียน การทำรายงาน การทำการบ้าน เป็นต้น ดังนั้นผู้ปกครองจึงไว้วางใจคุณครู หน้าที่ของครูจริง ๆ แล้วต้องสร้างเด็กทุกคนให้เป็นคนเก่งและคนดีของสังคมได้ โดยไม่มีการแบ่งชนชั้น นักเรียนทุกคนต้องได้รับการเอาใส่ใจและสั่งสอนที่ทุกคน ซึ่ง พัฒนาการทางสมอง ทั้ง 5 ด้านจึงเป็นพื้นฐานของการรับความรู้ที่คุณครูควรพัฒนา ดังนี้ พัฒนาการทางสมอง 5 ด้านให้กับเด็กๆ นักเรียน ด้านวิชาการและการมีวินัย ซึ่งเป็นหน้าที่พื้นฐานอยู่แล้วที่คุณครูทุกคนต้องปฏิบัติ คือ การสอนหนังสือนักเรียนให้ได้ประสิทธิภาพรวมถึงสร้างระเบียบวินัยในนักเรียน สำคัญ! เป้าหมายของการเรียนไม่ได้เรียนเพื่อรู้อย่างเดียว ต้องเรียนเพื่อนำไปใช้ได้ในชีวิตจริง ด้านการสังเคราะห์ เป็นด้านที่เด็กไทยส่วนใหญ่ไม่ถนัด ดังนั้นคุณครูต้องเร่ง พัฒนาการทางสมองในส่วนของสังเคราะห์ หากเด็กนักเรียนแยกแยะเรื่องราวต่าง ๆ ไม่ได้ ถือว่าคุณครูไม่ประสบความสำเร็จในการสอนนั้นเอง ด้านสารสนเทศ เป็นที่ทราบกันดีว่าในปัจจุบันสื่อและเทคโนโลยีมีผลต่อการตัวผู้เรียนสูง หากไม่สอนให้นักเรียนเสพสื่ออย่างถูกต้องอาจส่งผลให้นักเรียนหลงผิดได้ เช่น ในการดูสินค้าทางอินเทอร์เน็ต คุณครูควรสอนให้เด็กซื้อสินค้าอย่างไร…?…

ส่องเคล็ดไม่ลับ! กับ 5 วิธีเพิ่มเกรด 3.5+ ง่าย ๆ ฉบับคนขี้เกียจ

ส่องเคล็ดไม่ลับ! กับ 5 วิธีเพิ่มเกรด 3.5+ ง่าย ๆ ฉบับคนขี้เกียจ

               เนื่องจากในปัจจุบันทุกคนไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่า “การศึกษา” ไม่ใช่สิ่งสำคัญในการประกอบอาชีพ นักเรียนนักศึกษาในประเทศไทยใช้เวลากว่า 8 ชั่วโมงในการเล่าเรียนเพื่อนำความรู้ไปต่อยอดในระดับชั้นที่สูงขึ้นไป ทว่านักเรียนนักศึกษาหลายคนทุ่มเททั้งพลังกายพลังใจแต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็ไม่เป็นอย่างหวัง ผลการเรียนตก! เครียด! จะเพิ่มเกรดอย่างไร…? บทความนี้มี วิธีเพิ่มเกรด 3.5+ ง่าย ๆ ฉบับคนขี้เกียจมาแนะนำ แนะนำ วิธีเพิ่มเกรด 3.5+แบบง่าย ๆ ตั้งใจเรียนในห้องเรียน เป็นวิธีเพิ่มเกรด 3.5+แบบง่ายๆ ด้วยการฟังคุณครูสอนมาก ๆ ในห้องสามารถทำให้นักเรียนนักศึกษาไม่ต้องอ่านหนังสือหนัก ๆ ก่อนสอบก็เชื่อมโยงเนื้อหาถึงกันได้และยังเป็นความรู้ความเข้าใจที่ฝังแน่นในสมองที่คงทนมาก ๆ ทบทวนความรู้ การทบทวนความรู้ในที่นี่ คือ หากในเวลาเรียนทุกคนยังไม่เข้าใจอย่างถี่ถ้วนให้กลับมาอ่านหรือทำโจทย์ปัญหาทบทวนมาก ๆ และควรทำวันต่อวันทันที เพราะนักเรียนต้องเรียนหนังสือทุกวัน แต่ละวันมีการจัดการเรียนการสอนที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นควรตั้งใจทบทวนแต่ละวันให้ครบ ส่งงานให้ครบทุกรายวิชา ต้องบอกก่อนว่าภาระงานแต่ละชิ้นทุกคนอย่ามองข้าม! โดยอัตราส่วนการเก็บคะแนนจะแบ่งเป็นการสอบ 50 คะแนน ภาระงาน 50 คะแนน หากทุกคนสามารถกวาดคะแนนภาระงานได้ครบถ้วน ตั้งใจสอบอีก 30…

Creative room ห้องเรียนแห่งความสร้างสรรค์ ที่ทุกโรงเรียนควรมี

Creative room ห้องเรียนแห่งความสร้างสรรค์ ที่ทุกโรงเรียนควรมี

            เมื่อเด็กรุ่นใหม่เริ่มหันมาใส่ใจในระบบการศึกษามากยิ่งขึ้น พวกเขาพยายามเรียกร้องสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองให้ได้มากที่สุด มากกว่าการทำตามวัฒนธรรมเดิม ๆ เราก็ได้เห็นสถานศึกษาหลายแห่งรับฟังพร้อมปรับเปลี่ยนเท่าที่ทำได้ เพื่อให้การศึกษาไทยก้าวหน้าไปได้จริง ๆ และ Creative room ก็เป็นหนึ่งผลผลิตจากกระบวนการเหล่านี้ เป็นห้องที่มีแนวความคิดว่า ความรู้ควรมาคู่กับความสนุก เพื่อให้ผู้เรียนได้รับความรู้แบบไม่มีขีดจำกัดจริง ๆ ทำความรู้จัก Creative room                ว่ากันว่า นอกจาก Creative room จะเป็นห้องสำหรับการเรียนรู้ที่ทำลายภาพลักษณ์เดิมไปจนหมดสิ้น ไม่มีการเปิดหน้าหนังสือแล้วตั้งใจอ่านกันอย่างเคร่งเครียดเหมือนก่อน ๆ ไม่มีงานกองท่วมหัว และไม่มีการตัดสินว่าใครเก่งกว่าใคร นับเป็นห้องเรียนแห่งความเท่าเทียมอย่างแท้จริง ทุกคนจะได้ปลดปล่อยพลังความคิดสร้างสรรค์ในแบบของตัวเอง ชนิดที่ว่าไม่ต้องกลัวว่ามันจะผิดหรือถูก ใครที่เรียนเก่งและมุ่งมั่นจะไปทางด้านวิชาการก็จะมีการเรียนที่สนับสนุน ใครที่เด่นในด้านอื่น ๆ ก็มีแผนรองรับเช่นเดียวกัน                ความพิเศษของห้องเรียนแบบ Creative room ก็คือเน้นให้เกิดการลงมือทำ พอกันทีกับการนั่งจดเนื้อหาเป็นวันๆ พอกันทีกับการท่องทฤษฏีที่ไม่รู้จะเอาไปใช้งานยังไง คราวนี้ทุกคนจะได้ลองทำด้วยตัวเองจริงๆ เช่น สร้างละครเวทีเพื่อใช้ภาษาอังกฤษ ทำโครงการวิทยาศาสตร์ จัดทำแผนบริหารการเงิน เป็นต้น การลองผิดลองถูกในทุกขั้นตอนจะทำให้แต่ละคนจดจำสิ่งที่ได้รับดีขึ้น…