ภายในรั้วโรงเรียนมีเรื่องราวมากกว่าแค่ศึกษาหาความรู้ และเด็กทุกคนต้องก้าวผ่านจุดนั้นมาให้ได้ หากใครมีครอบครัวที่เข้าใจก็ถือว่าได้เปรียบหน่อย แต่ถ้าต้องแก้ปัญหาด้วยตัวเองลำพัง นี่ก็นับว่าหนักหนาพอสมควร อย่างกรณีของ เด็กหลังห้อง ที่มักจะได้รับการปฏิบัติแบบ 2 มาตรฐานเสมอ ซึ่งตรงนี้ทำให้หลายคนเปลี่ยนจากเด็กที่สนใจเรียนเป็นคนที่มีทัศนคติไม่ดีเกี่ยวกับการเรียนไปเลย ยิ่งกว่านั้นคือ บางทีครูผู้สอนก็ไม่รู้ตัวด้วยว่าสิ่งที่ทำนั้นกำลังบั่นทอนนักเรียนของตัวเองอยู่ มุมมองต่างๆ เกี่ยวกับ เด็กหลังห้อง ก่อนอื่นอยากให้ฟังมุมมองของเด็กหลังห้องกันก่อนว่า ทำไมเขาถึงอยากไปนั่งด้านหลัง แทนที่จะเป็นแถวหน้าเหมือนเด็กเรียนคนอื่นๆ มากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของเด็กที่เลือกนั่งด้านหลัง มักจะมีเหตุผลอื่นที่นอกเหนือไปจากเรื่องเรียน เช่น เป็นเด็กตัวสูงและชอบให้มีพื้นที่ข้างหลังกว้างหน่อย อยากมองเห็นบรรยากาศมุมกว้างภายในห้อง ต้องการความเป็นส่วนตัวบ้างในบางเวลา ที่นั่งด้านหลังใกล้กับหน้าต่างหรือประตูที่ทำให้รู้สึกสบายกว่า เป็นต้น แต่ในมุมมองของผู้สอนบางคน จะเพ่งเล็งว่าเด็กหลังห้องคือเด็กที่ไม่ตั้งใจเรียน และไม่ค่อยให้ความร่วมมือระหว่างที่ทำการสอน จะมีเพียงเด็กที่นั่งแถวหน้าๆ เท่านั้นที่ถามตอบอย่างสม่ำเสมอ เมื่อมีความคิดแบบนี้เป็นทุนเดิม เวลาที่แสดงออกจึงมีความแตกต่างอย่างชัดเจน ทั้งเรื่องท่าทาง น้ำเสียง และการตัดสินใจ เด็กบางคนเคยมีประสบการณ์มาสายด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่กลับถูกไล่ออกจากห้องเพียงเพราะเขานั่งด้านหลัง และครูก็เลือกจะมองว่าเขาไม่เต็มใจมาเรียน แน่นอนว่าเด็กหลังห้องที่ไม่ชอบเรียนก็มีเหมือนกัน แต่ถ้าสังเกตดูดีๆ เด็กทุกคนจะมีวิชาที่ตัวเองชื่นชอบอยู่เสมอ ที่เขาไม่ชอบเรียนก็อาจจะเป็นเพราะเนื้อหาหรือรูปแบบการสอนที่เขาเข้าไม่ถึง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาตัดสินว่าผิดหรือถูก เป็นเด็กดีหรือไม่ดี ที่สำคัญคือต้องไม่มีการตัดสินไปล่วงหน้าว่าเด็กที่นั่งด้านหลังคือเด็กไม่ตั้งใจเรียนด้วย kor-kai.com แหล่งรวมความรู้…
อย่าเพิ่งตกใจว่า ห้องเรียนกลับด้าน เป็นการเรียนในห้องเรียนเอียงๆ หรือกลับด้านแบบเอาขาชี้ฟ้า… แต่เป็นการเรียนการสอนแบบใหม่ที่ปฏิวัติการศึกษาและความเชื่อเดิมๆ ของทั้งครูและนักเรียน ซึ่งทางอเมริกาเขาวิจัยมาแล้วว่าทำให้นักเรียนมีผลการเรียนดีขึ้นอย่างชัดเจน มาดูกันว่าคืออะไร ห้องเรียนกลับด้าน คืออะไร ดีอย่างไร ห้องเรียนแบบเก่า สิ่งที่เกิดในห้องเรียนจะมีการเรียนการสอนปกติ บางโรงเรียนที่มีเทคโนโลยีหน่อยก็จะให้นักเรียนศึกษาหาความรู้ผ่านทางอินเทอร์เน็ต และเมื่อนักเรียนกลับบ้านแล้วก็จะมีการบ้านติดตัวไปให้ทำเพื่อฝึกฝน ห้องเรียนกลับด้านหรือที่เรียกว่า Flipped Classroom มีรายละเอียดที่น่าศึกษา ดังนี้ สิ่งที่เกิดในห้องเรียน คือ จัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อการเรียนรู้ (เป็นการจัดกิจกรรมหรือให้ทำงานที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในวิดีโอที่ให้นักเรียนดู โดยครูมีหน้าที่ชี้แนะแต่ไม่ชี้นำ เรียกว่าเป็นผู้ช่วยเหลือในยามที่เด็กติดขัดและกระตุ้นให้สามารถคิดด้วยตัวเอง) ที่สำคัญการเรียนการสอนแบบใหม่นี้ยังเปิดโอกาสให้นักเรียนนำการบ้านมาทำได้ ซึ่งการทำการบ้านในห้องเรียนมีข้อดีหลายประการ ได้แก่ 1. ช่วยลดปัญหาการลอกการบ้านเพื่อนในทุกเช้า หากเด็กบางคนไม่สามารถทำเองได้ 2. เด็กสามารถปรึกษาเพื่อน นั่งทำการบ้านกันเป็นกลุ่มๆ ได้ 3. เด็กสามารถสอบถามการบ้านจากครูผู้สอนเพื่อความกระจ่าง 4. เด็กมีเวลาส่วนตัวมากขึ้นเมื่อกลับบ้านแล้ว 5. เด็กเรียนอย่างมีความสุขเพราะไม่มีการบ้านต้องทำที่บ้าน และการทำการบ้านที่ห้องเรียนก็ไม่ต่างจากการทำกิจกรรมสนุกๆ กับเพื่อน สิ่งที่เกิดนอกห้องเรียน สิ่งที่เกิดนอกห้องเรียน (นอกเวลาเรียน) ของห้องเรียนกลับด้าน คือ จัดให้นักเรียนศึกษาหาความรู้ผ่านทางอินเทอร์เน็ต …
เมื่อเด็กรุ่นใหม่เริ่มหันมาใส่ใจในระบบการศึกษามากยิ่งขึ้น พวกเขาพยายามเรียกร้องสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองให้ได้มากที่สุด มากกว่าการทำตามวัฒนธรรมเดิม ๆ เราก็ได้เห็นสถานศึกษาหลายแห่งรับฟังพร้อมปรับเปลี่ยนเท่าที่ทำได้ เพื่อให้การศึกษาไทยก้าวหน้าไปได้จริง ๆ และ Creative room ก็เป็นหนึ่งผลผลิตจากกระบวนการเหล่านี้ เป็นห้องที่มีแนวความคิดว่า ความรู้ควรมาคู่กับความสนุก เพื่อให้ผู้เรียนได้รับความรู้แบบไม่มีขีดจำกัดจริง ๆ ทำความรู้จัก Creative room ว่ากันว่า นอกจาก Creative room จะเป็นห้องสำหรับการเรียนรู้ที่ทำลายภาพลักษณ์เดิมไปจนหมดสิ้น ไม่มีการเปิดหน้าหนังสือแล้วตั้งใจอ่านกันอย่างเคร่งเครียดเหมือนก่อน ๆ ไม่มีงานกองท่วมหัว และไม่มีการตัดสินว่าใครเก่งกว่าใคร นับเป็นห้องเรียนแห่งความเท่าเทียมอย่างแท้จริง ทุกคนจะได้ปลดปล่อยพลังความคิดสร้างสรรค์ในแบบของตัวเอง ชนิดที่ว่าไม่ต้องกลัวว่ามันจะผิดหรือถูก ใครที่เรียนเก่งและมุ่งมั่นจะไปทางด้านวิชาการก็จะมีการเรียนที่สนับสนุน ใครที่เด่นในด้านอื่น ๆ ก็มีแผนรองรับเช่นเดียวกัน ความพิเศษของห้องเรียนแบบ Creative room ก็คือเน้นให้เกิดการลงมือทำ พอกันทีกับการนั่งจดเนื้อหาเป็นวันๆ พอกันทีกับการท่องทฤษฏีที่ไม่รู้จะเอาไปใช้งานยังไง คราวนี้ทุกคนจะได้ลองทำด้วยตัวเองจริงๆ เช่น สร้างละครเวทีเพื่อใช้ภาษาอังกฤษ ทำโครงการวิทยาศาสตร์ จัดทำแผนบริหารการเงิน เป็นต้น การลองผิดลองถูกในทุกขั้นตอนจะทำให้แต่ละคนจดจำสิ่งที่ได้รับดีขึ้น…