คำว่าเพื่อนเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มากๆ สำหรับชีวิตของมนุษย์ที่เป็นสัตว์สังคม แต่บางทีนิสัยก็มีทั้งรับได้ถ้าในกรณีสนิทกัน และควรระมัดระวังนิดนึงว่า อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำเลย เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนในภายหลัง แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ไม่อยากมีปัญหาระหว่างกันหรอกจริงไหม? เอาล่ะจะมาบอกนิสัยเพื่อนของคุณว่าเป็นแบบ 5 ข้อหรือไม่ ถ้ายิ่งคุยกันมากเท่าไหร่ ยิ่งเหนื่อยใจมากเท่านั้น ซึ่งมี ลักษณะนิสัย ตามแต่ละข้อดังนี้ ลักษณะนิสัย ของเพื่อน ที่ไม่น่าคบ ไม่รู้กาลเทศะ : ลักษณะนิสัย แบบนี้ยิ่งคุยก็ยิ่งไม่สบายใจ โดยเฉพาะมาคุยในเวลางาน มีธุระก็เร้าหรือ เพราะนอกจากไม่รู้เวลาว่าควรพูดช่วงไหน อะไรควรทำไม่ควรทำ ต่อให้สนิทต่อกันมากแค่ไหน ความเกรงใจควรจะมีมากๆ เลยนะ เพราะถ้าไม่รู้เวล่ำเวลาว่าจะทำอะไร อย่างน้อยก็ควรเห็นหัวนิดนึงว่าควรทำไหม เพื่อไม่บ่มนิสัยเสียๆ ใส่กันในภายหลัง งี่เง่าพูดภาษาคนไม่รู้เรื่อง : อย่างในกรณีที่มีเพื่อนที่พูดแล้วยังงี่เง่า ถ้านานๆ ทีพอได้ ไม่ว่าจะงี่เง่าเพราะเรื่องความรัก งี่เง่าเพราะไม่ชอบใจ หรืองี่เง่าเพราะเรื่องอื่นๆ เช่น เตือนแล้วยังจะดราม่านั่นนี่เพราะความอยากได้ของตนเอง แต่ไม่ได้ดังใจ เอาแต่ใจตนเอง หรือสิ่งที่สื่อให้เห็นว่านิสัยแบบนี้ยิ่งคุยยิ่งเตือนเท่าไหร่ ก็เหมือนคนพูดไม่รู้เรื่อง เพื่อน…
สวัสดีผู้อ่านที่น่ารักทุกๆท่านทุกๆคน ในบทความนี้จะเป็นการนำเสนอมากกว่าที่จะโจมตีเพื่อสร้างความขัดแย้งใดๆ แน่นอนว่าการเมืองไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง แต่มันเป็นเรื่องของทุกคนที่ต้องสร้างความตระหนัก และให้ทุกคนตระหนักเรื่องการทำรัฐประหาร ซึ่งเคยได้ยินมาบ้างแล้วกับการศึกษาไทย จากที่ศึกษามาหลายแหล่งข่าวรวมทั้งสถานการณ์ปัจจุบันจะขอแยกเป็นข้อๆ ว่าทำไมประเทศไทย ไม่ควรทำ การรัฐประหาร เหตุผลที่ ประเทศไทยไม่ควรทำ การรัฐประหาร 1.ความเหลื่อมล้ำทางสังคมจะหนาขึ้น ประเทศไทยยังไม่สามารถแก้ปัญหาความยากจนของประชาชนได้ในระยะยาว จากการศึกษาในแต่ละแหล่งข่าว พบว่าการทำรัฐประหาร นำมาซึ่งการคอรัปชั่นเพิ่มขึ้น มิใช่แค่เรื่องการเมืองเท่านั้น แต่การช่วยเหลือคนที่เข้าถึงได้ยาก การศึกษาของเยาวชนที่ควรจะได้รับและเนื้อหาที่ทันสมัยจะเข้าไม่ถึง รวมทั้งเงินช่วยเหลือเยียวยาจะไม่ถึงมือจนต้องระดมทุนบริจาคกันมากขึ้น ซึ่งภาระหน้าที่นั้นควรเป็นหน้าที่ของภาครัฐที่ควรรับผิดชอบมากกว่ารับผิดชอบกันเอง 2.การศึกษาในไทยจะถอยหลังลงคลองมากขึ้น จะเห็นได้ว่าประเทศไทยของเรามีค่าเฉลี่ยการศึกษาในอันดับที่ไม่ดีเท่าใดนัก การที่ทำ การรัฐประหาร ทำให้การศึกษาไทยไม่ได้รับการใส่ใจเท่าที่ควร (พูดง่ายๆ คือการศึกษาไทยล้าหลัง ไม่สามารถพัฒนาประเทศชาติให้ดีขึ้น) เนื้อหาการเรียนการสอนไม่ทันสมัย ขาดการอัปเดตความรู้เนื้อหาที่เหมาะสมในแต่ละช่วงวัยและช่วงปี และขาดจิตวิทยาในเด็กที่เหมาะสม จนทำให้สังคมขาดความตระหนักในเรื่องความรู้ต่อเด็กและเยาวชน จริยธรรมที่ควรรับมือในยุคการเปลี่ยนแปลง รวมทั้งเน้นเรียนเพื่อไปสอบมากกว่าเรียนเพื่อเสริมทักษะชีวิต ทำให้เด็กได้รับการศึกษาแบบขาดๆ เกินๆ ไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างเต็มที่นัก 3.ตลาดหุ้นติดลบ หากใครเข้าใจการศึกษาในหลักการเศรษฐศาสตร์ การที่ทำ การรัฐประหาร ส่งผลต่อตลาดหุ้นติดลบ ซึ่งเป็นภาพรวมที่ไม่ดีนัก นั่นแปลว่าเศรษฐกิจไทยจะตกต่ำลง และจะรุนแรงกว่าวิกฤตต้มยำกุ้งในปี 2540 ผลของการทำรัฐประหารนั้นทำให้ความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนน้อยลง …
วิชาชีพครูยังคงมีคุณค่าในสังคม ครูพบว่าโรงเรียนในฟินแลนด์มีจิตวิญญาณของชุมชนที่ดี อย่างไรก็ตาม ครูในฟินแลนด์ ไม่ค่อยพอใจกับสภาพแวดล้อมในการทำงานมากกว่า แต่ก่อนรายงาน OECD TALIS (การสำรวจการเรียนการสอนระหว่างประเทศ) การสำรวจซึ่งรวม 48 ประเทศยังบอกด้วยว่าครูไม่สนุกกับการทำงานมากเท่าที่เคยเป็นมาอีกต่อไปข่าวประชาสัมพันธ์ของกระทรวงศึกษาธิการอ้างการสำรวจว่าเป็นรายงานความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปงานธุรการและต้องปรับการสอนให้เข้ากับความต้องการของเด็กและเยาวชนที่ต้องการการสนับสนุนเป็นพิเศษเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับครู ครูในฟินแลนด์ ยังมีคุณค่าต่อสังคม ผลการวิจัยระดับประเทศของ TALIS 2018 (การสำรวจการเรียนการสอนระหว่างประเทศ) ได้รับการตีพิมพ์เป็นสองส่วน นี่คือผลการศึกษาส่วนที่สอง ผลการวิจัยทำให้ทราบถึงสภาพการทำงานของครูและผู้นำโรงเรียนและประสบการณ์ในสภาพแวดล้อมการเรียนการสอนของโรงเรียนของตนเองอย่างไร ครูโรงเรียนมัธยมศึกษาประมาณ 2,850 คนและผู้นำโรงเรียน 150 คนเข้าร่วมการศึกษาในฟินแลนด์และในระดับนานาชาติมีครูโรงเรียนมัธยมประมาณ 160,000 คนและผู้นำโรงเรียน 9,400 คนเข้าร่วมในการศึกษานี้ ข้อมูลถูกรวบรวมในฤดูใบไม้ผลิ 2018 แต่ละประเทศที่เข้าร่วมอาจใช้ผลลัพธ์ในการพัฒนานโยบายการศึกษาของตนเอง แอนนิก้า ซาริกโก้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมกล่าวว่าการสำรวจของ TALIS ให้ข้อมูลเกี่ยวกับจุดแข็งและความท้าทายของระบบการศึกษาของฟินแลนด์ นี่เป็นสิ่งสำคัญและช่วยให้เราขับเคลื่อนการทำงานไปในทิศทางที่ถูกต้องเพื่อพัฒนาระบบการศึกษาของเราโดยใช้ข้อมูลจากการวิจัย โรงเรียนส่งเสริมการทำงานร่วมกันมากกว่า แต่ก่อน การทำงานเป็นทีมแบบร่วมมือกันในการสอนและการมีส่วนร่วมในการเรียนรู้แบบร่วมมือมืออาชีพกลายเป็นเรื่องปกติมากขึ้นในหมู่ครูในช่วงห้าปีที่ผ่านมา ครูไว้วางใจซึ่งกันและกันและโรงเรียนสนับสนุนให้ทุกคนแสดงความคิดริเริ่ม การแบ่งปันความรับผิดชอบเป็นส่วนสำคัญของโรงเรียน อย่างไรก็ตามผลการสำรวจพบว่ายังมีอีกหลายอย่างที่ต้องทำเพื่อปรับปรุงความรู้สึกของชุมชนในฟินแลนด์ ตัวอย่างเช่นครูในสวีเดนและนอร์เวย์มีความพยายามในการทำงานร่วมกันในรูปแบบต่างๆกับครูคนอื่น ๆ มากกว่าที่ครูทำในฟินแลนด์ ครูในฟินแลนด์ ยังรู้สึกว่าพวกเขาได้รับข้อเสนอแนะเกี่ยวกับงานของตนโดยเฉลี่ยน้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับประเทศอ้างอิงอื่น…