งานนี้เราไม่ได้ยกเรื่องมาพูดกันลอยๆ เกี่ยวกับ ภาวะสิ้นหวังในการเรียน ของเด็ก เพราะมีการวิจัยในเชิงจิตวิทยากันอย่างจริงจัง ก่อนหน้านี้เด็กวัยเรียนมักจะมีปัญหาความเครียดได้ง่าย พอเครียดมากก็รับมือไม่ไหวแล้วไม่รู้จะหาทางออกอย่างไร เหมือนกับที่เราได้เห็นกรณีของเด็กที่คิดจะฆ่าตัวตายเพียงแค่เกรดตกมาไม่กี่จุด และเด็กที่มีอาการซึมเศร้าเนื่องจากทำเป้าหมายด้านการเรียนไม่สำเร็จตามความคาดหวังของพ่อแม่ ปัญหา ภาวะสิ้นหวังในการเรียน ของเด็ก จากความเครียดในวันนั้น ต่อยอดมาถึง ภาวะสิ้นหวังในการเรียน ในวันนี้ เวลาพูดถึงความเครียดของเด็ก มันจะมีสโคปค่อนข้างกว้าง กลุ่มของเด็กที่มีปัญหาก็หลายหลาย เด็กหลังห้องก็เครียดได้ เด็กโอลิมปิกก็เครียดได้เหมือนกัน แต่สำหรับภาวะสิ้นหวังนี้ มันจะเจาะจงไปที่เด็กหัวปานกลางถึงเด็กหัวช้า คิดอ่านตามเพื่อนไม่ค่อยทัน แม้ว่าจะพยายามศึกษาเพิ่มเติมด้วยตัวเองแล้วก็ตามที สิ่งที่ผู้ใหญ่ในวงการการศึกษาต้องตระหนักในเรื่องของการศึกษาให้มากขึ้นก็คือ ปัจจัยหลักของ ภาวะสิ้นหวังในการเรียน มาจากการสอบวัดระดับ ทุกครั้งที่มีการสอบ เด็กจะตึงเครียดกันมาก ไหนจะต้องจดจำเนื้อหา ไหนจะต้องฟันฝ่าเพื่อไม่ให้เป็นลำดับท้ายๆ ของชั้น หรือไม่ให้ตัวเองได้เกรดต่ำกว่าที่คาดหวัง ข้อดีของความเครียดตรงนี้ก็คือ มันกระตุ้นให้เด็กลุกขึ้นมาตั้งเป้าและพยายามทุกวิถีทางให้ไปถึงเป้านั้นได้ หลายคนจึงมีพัฒนาการที่ดีขึ้น ขณะเดียวกันก็มีอีกหลายคนที่ตั้งเป้าการเรียนการศึกษาไว้เท่าไรก็ไม่เคยไปถึงได้ เรียนในห้องก็แล้ว เรียนพิเศษก็แล้ว ดูเหมือนจะไม่มีอะไรดีขึ้น เขาจึงเริ่มรู้สึกว่าเขาช่วยเหลือตัวเองไม่ไหวแล้ว พาลไปถึงการแก้ปัญหาในจุดอื่น คือเสื่อมศรัทธาในตัวเอง กลายเป็น…
การประสบความสำเร็จในด้านการเรียน ใช้เพียงแค่เทคนิคในการพัฒนาทักษะ พัฒนาสมอง และเคล็ดลับการเรียนต่างๆ จากรุ่นพี่และสถาบันติว มันไม่เพียงพอ จำเป็นต้องมีระดับความสุขที่เหมาะสมในทุกครั้งที่เกิดการเรียนรู้ด้วย ซึ่ง PERMA Model ก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งในการสร้างความสุขที่น่าสนใจ สามารถปรับใช้ได้กับทุกเรื่องในชีวิต ไม่ได้เฉพาะเจาะจงกับการศึกษาของเด็กๆ เท่านั้น และจากสถิติที่ผ่านมา พบว่าผู้ที่ใช้แนวทางนี้มีค่าความสุขเพิ่มขึ้นในระยะเวลาอันสั้น ใจความหลักของ PERMA Model หากสรุปใจความหลักของ PERMA Model ให้เข้าใจได้ง่าย มันก็คือการมองโลกในแง่ดี แล้วอาศัยองค์ประกอบแวดล้อมเข้ามาช่วยสนับสนุน คำว่า PERMA เป็นการรวมของอักษรที่มีความหมายเฉพาะตัว ได้แก่ ตัวอักษร P- Positive Emotion ตัวอักษร E- Engagement ตัวอักษร R- Relationships ตัวอักษร M- Meaning และสุดท้ายตัวอักษร A- Accomplishments เหมือนกับการแบ่งเป็นหมวดหมู่ 5 หมวด…
ในช่วงวัยเรียนั้นเราอาจจะได้เจอกับ “กลุ่มเด็กนักเรียนมากมาย” ซึ่งในกลุ่มต่าง ๆ นั้นมีวิถีการใช้ชีวิตที่ต่างกันด้วยสิ้นเชิง โดยในบทความนี้เราจะขอเจาะลึกกับเด็กหลังห้อง ที่เราเคยมองว่าพวกเขาเหล่านั้นไม่ใช่เด็กดี แต่พอเรียนจบแล้ว เด็กหลังห้อง นั้นกลับไปได้ดีในช่วงชีวิตวัยทำงานวันนี้เรามาลองดูคำตอบกันครับ ทำไม เด็กหลังห้อง มักได้ดีหลังเรียนจบ เข้าใจโลกมากกว่า ต้องยอมรับกันก่อนว่า เด็กหลังห้อง นั้นไม่ใช่เด็กที่จะตั้งใจเรียนดังนั้น “การไม่เข้าเรียน” นั้นจึงมีเกิดขึ้นด้วยเช่นกัน ซึ่งการไม่เข้าเรียนของเขาในแต่ละครั้งจะทำให้เขาได้เจอเรื่องราวราวนอกตำราต่าง ๆ ที่ไม่ได้ถูกสอน หรือเด็กหลังห้องบางคนที่ฐานะไม่ค่อยดี การไม่เข้าเรียนเพื่อไปทำงานพิเศษก็มีด้วยเช่นกัน จึงทำให้เข้าใจโลกได้มากกว่า เข้าสังคมได้ง่ายกว่า การเข้าสังคมนั้นถือเป็นเรื่องปกติของมนุษย์เรา ซึ่ง เด็กหลังห้อง ส่วนมากจะปรับตัวในส่วนนี้ได้ดี เนื่องจากการอยู่ในคนรอบตัวที่มีความคิดไม่ตรงกันอย่างเช่นเด็กหลังห้องบางครั้งอาจจะต้องทำงานร่วมกับเด็กหน้าห้องที่เป็นเด็กตั้งใจเรียนก็จะต้องมีการปรับตัวเข้าหากันเพื่อทำให้งานสำเร็จ ในช่วงวัยทำงานเองก็มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อย ๆ ด้วยเช่นกัน เติบโตในด้านต่าง ๆ มากกว่า เด็กหลังห้องนั้นเป็นเด็กที่มีสังคมเป็นกลุ่มใหญ่ดังนั้นเรื่องบางเรื่องนั้นเด็กหลังห้องจะได้รับการเรียนรู้เร็วกว่าจากเด็กในวัยเดียวกันแต่สนใจแต่เรียนอย่างเดียว มีความคิด ความฝัน และตั้งคำถามกับตัวเองมากกว่า เด็กหลังห้อง นั้นมีความคิด ความฝัน และมักจะตั้งคำถามมากกว่า การมาตอบคำถามในห้องเรียน และ พยายามจะหาคำตอบต่าง ๆ…