Month: October 2020

รีวิว รองเท้านักเรียนชาย ไว้เลือกให้ตรงกับไลฟ์สไตล์ตัวเอง

รีวิว รองเท้านักเรียนชาย ไว้เลือกให้ตรงกับ ไลฟ์สไตล์ของตัวเอง

          น้อง ๆ นักเรียนชายในบ้านเราล้วนแต่ต้องแต่งกายตามยูนิฟอร์มของโรงเรียน นอกเหนือจากนั้น รองเท้าก็นับว่าสำคัญไม่น้อย วันนี้จึงจะมาทำการรีวิวจุดเด่น จุดด้อย ของรองเท้าแต่ละยี่ห้อ จากนั้นมาดูกันว่า รองเท้านักเรียนชาย ยี่ห้อไหนปังกับน้อง ๆ มากที่สุด รองเท้านักเรียนชายสุดฮิตในแต่ละยี่ห้อ           รองเท้านักเรียนชาย ยี่ห้อนันยาง นับได้ว่าเป็นรองเท้านักเรียนยอดนิยม เพราะมีความทนทาน ตัวรองเท้าหนา พื้นรองเท้าและฝ่ารองเท้าแข็ง ทำให้รองเท้านักเรียนยี่ห้อนี้มีจุดแข็งในเรื่องอายุการใช้งานที่สามารถใส่ได้ยาว ๆ  1-2 ปี เลยทีเดียว  และด้วยความทนทานนี้จึงทำให้กลายเป็นรองเท้าที่เหมาะกับการเล่นกีฬา โดยเฉพาะฟุตบอลและฟุตซอล ซึ่งจะช่วยให้ น้อง ๆ มีความมั่นใจทุกครั้งเมื่อสัมผัสบอล รวมการง้างเท้ายิงที่รุนแรง ส่วนจุดด้อย อาจเป็นในเรื่องของการสวมใส่ที่อาจไม่นุ่มสบายเท้านักกับคนที่ผิวเท้าบาง               รองเท้านักเรียนชาย ยี่ห้อโกว์ซิตี้ มีจุดเด่นคือ ฝ่ารองเท้ามีความนิ่มกว่า นันยาง ส่วนตัวรองเท้าจะคล้ายกับ นันยาง อีกทั้งสามารถใส่เล่นกีฬาได้ทั่วไป ขณะที่ข้อเสีย คือ ยางขอบรองเท้าไม่เหมือนนันยาง ทำให้เมื่อมีอายุการใช้งานเกิน…

สิ่งที่ต้องพบเจอ เมื่อราต้อง อยู่หอพักกับรูมเมท มีอะไรบ้าง ?

สิ่งที่ต้องพบเจอ เมื่อเราต้อง อยู่หอพักกับรูมเมท มีอะไรบ้าง ?

          เมื่อน้อง ๆ ก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยและระยะทางอยู่ไกลบ้าน แน่นอนว่า น้อง ๆ จะต้องหาหอพักอยู่ถ้าต่างจังหวัดอาจมีราคาไม่สูงนัก แต่หากในกรุงเทพฯ ราคาก็ค่อนข้างสูงขึ้น ทำให้การเลือกรูมเมทเข้ามาอยู่ด้วยจะช่วยหารค่าหอและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้ถูกลงได้ ฉะนั้นในวันนี้พี่จะหยิบยกถึงสิ่งที่ต้องเจอ เมื่อเราต้อง อยู่หอพักกับรูมเมท ไว้ประกอบการตัดสินว่าเราพร้อมหรือไม่กับการที่จะให้ใครสักคนเข้ามาอยู่กับเราเหมือนดั่งคนในครอบครัว           อยู่หอพักกับรูมเมทต้องเจอกับอะไรบ้าง           สิ่งแรกที่ต้องพบแน่นอนเมื่อเราต้อง อยู่หอพักกับรูมเมท คือ ความเป็นส่วนตัวของน้อง ๆ จะหายไปนับตั้งแต่วันที่น้อง ๆ เข้ามาใช้ชีวิตในห้องเดียวกัน ทุกสิ่งที่เราอยากทำอาจจะต้องดูความเหมาะสมซึ่งไม่สามารถทำตามอำเภอใจตัวเองได้หมด รวมถึงทุกอย่างในห้องที่มีค่าใช้จ่ายจะต้องถูกหารครึ่ง สิ่งที่น้อง ๆ ควรทำก่อนเข้าหอ คือ การดูลักษณะนิสัยและไลฟ์สไตล์ของเพื่อนที่คาดว่าจะมาเป็นรูมเมทของเรา ว่าเพื่อนคนนั้นมีไลฟ์สไตล์ไปในทางเดียวกันกับเราหรือไม่ จากนั้นควรทำข้อตกลงร่วมกันตั้งแต่วันแรก เช่น กฎระเบียบการอยู่ห้อง การใช้น้ำ-ไฟ ตารางการทำความสะอาด ซึ่งจะช่วยให้เรากับรูมเมท สามารถอยู่กันได้ยืดยาว             สิ่งต่อมาที่ต้องพบเจอเมื่อเราต้อง อยู่หอพักกับรูมเมท คือ ความแตกต่างจากอุปนิสัยในรายละเอียดปลีกย่อยของรูมเมท เช่น การนอนกรน…

คุรุสภาเอาจริง ใครไม่มี ใบประกอบอาชีพครู ระวังโทษจำคุก 3 ปีปรับ 6 หมื่นบาท

คุรุสภาเอาจริง ใครไม่มี ใบประกอบอาชีพครู ระวังโทษจำคุก 3 ปีปรับ 6 หมื่นบาท

จากข่าวที่คุณครูอนุบาลทำร้ายนักเรียนด้วยความรุนแรงเป็นเวลายาวนาน ซึ่งมีข่าวว่าเมื่อสี่ปีก่อนก็เคยมีเหตุการณ์ที่ครูทำร้ายนักเรียนและโดนให้ออกไปแล้วยกชุดแต่เหมือนว่าครูที่อยู่ในช่วงวัยเดียวกันที่เคยเห็นการกระทำรุนแรงจากครูรุ่นก่อนก็เกิดการทำพฤติกรรมเดียวกันกับเด็กของตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่เกินจรรยาบรรณของครูที่ทำร้ายนักเรียนวัยอนุบาลที่อายุเพียงไม่กี่ขวบ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทำให้หลายหน่วยงานและผู้คนทั่วไปเกิดความข้องใจว่าครูเหล่านี้มีใบประกอบวิชาชีพครูหรือไม่หรือเป็นครูเถื่อนที่เข้ามาทำงานในคราบครูเท่านั้น ทางคุรุสภาเองก็ไม่นิ่งนอนใจและเตรียมเข้าตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยความจริงจัง คุรุสภาเอาจริง ใครไม่มี ใบประกอบอาชีพครู ระวังโทษจำคุก 3 ปีปรับ 6 หมื่นบาท คุรุสภาแจ้งครูทุกคนต้องมีใบประกอบอาชีพครู                นายดิศกุล เกษมสวัสดิ์ เลขาธิการคุรุสภา ออกมาแสดงเจตจำนงชัดเจนว่า คุรุสภาเอาจริง ใครไม่มี ใบประกอบอาชีพครู ระวังโทษจำคุก 3 ปีปรับ 6 หมื่นบาท ซึ่งเป็นโทษที่ทางคุรุสภาชี้แจงออกมาให้ทราบทั่วกัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงในโรงเรียนที่เกิดจากครูที่ไม่มีจรรยาบรรณและทำให้สถาบันการศึกษาเกิดความเสียหาย โดยผู้สอนที่โรงเรียนที่ไม่มีใบประกอบอาชีพครูให้ระวางจำคุก 3 ปีหรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ทางคุรุสภาได้เตรียมตัวเข้าตรวจใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูของครูทุกคนที่โรงเรียนสารสาสน์วิเทศราชพฤกษ์ โรงเรียนที่เป็นข่าวของความรุนแรงที่เกิดจากครูอนุบาลต่อเด็กอนุบาล ซึ่งไม่ใช่เพียงครูไทยเท่านั้น ครูฟิลิปปินส์จากโรงเรียนเดียวกันก็มีพฤติกรรมรุนแรงต่อเด็กเล็กเช่นเดียวกัน ดังนั้นทางคุรุสภาจะเข้าตรวจใบประกอบอาชีพครูของครูทั้งหมด 120 คนและหากพบใครที่ไม่มีใบประกอบจำเป็นจะต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย การดำเนินการในครั้งนี้จากที่เคยตั้งเอาไว้ที่ 180 วันลดลงมาที่ 90 วันเพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาโดยเร็วเพื่อความสบายใจของพ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กที่ปล่อยลูกมาเรียนที่โรงเรียนซึ่งคิดว่าจะเป็นที่ปลอดภัยแต่กลับอันตรายต่อลูกเพราะอาจมีครูที่ไม่มีใบประกอบอาชีพครู                คุรุสภาเอาจริง ใครไม่มี ใบประกอบอาชีพครู ระวังโทษจำคุก…

แจก! เทคนิคสอน การอ่านที่ดี เพียงแค่เข้าใจสระ ให้กับเด็กๆ

แจก! เทคนิคง่ายๆ การอ่านที่ดี เพียงแค่เข้าใจสระ ให้กับเด็กๆ

เพียงแค่เข้าใจสระก็สามารถช่วยให้ลูกของเรานั้น มีพื้นฐาน การอ่านที่ดี ในอนาคตที่ดีอย่างแต่นอน เพราะหากไม่มีความเข้าใจตัวในสระและอักษร จะทำให้การอ่านอาจจะมีปัญหาในอนาคตได้ เพราะเวลาที่เขาจะสะกดคำก็ต้องใช้เสียงของตัวสระบวกกับตัวอักษร เพื่อให้เกิดความหมายของเสียงที่พูดออกมา รวมไปถึงการรวมคำต่าง ๆ ซึ่งทั้งหมดก็ต้องใช้สระในการออกเสียงเวลาที่อ่านหนังสือ แนะนำการอ่านที่ดีเพียงแค่เข้าใจสระให้กับเด็กๆ                ซึ่งหากลูกของเรามีพื้นฐานการอ่านที่ไม่ดี มันจะส่งผลตอนเวลาที่ต้องเรียนการอ่านอย่างจริงจัง ก็จะทำให้เขารู้สึกว่าการอ่านนั้นมีความซับซ้อนและยากมาก จนไม่อยากจะแตะหนังสือเลย แต่ต่างกับเด็กบางคนที่มีความเข้าใจในตัวสระอยู่ก่อนแล้ว มักจะชื่นชอบการอ่านเป็นที่สุด เพราะเขาเหมือนได้รู้จักคำที่ตนเองอ่าน จึงทำให้สามารถที่จะบอกความหมายของคำนั้น ๆ ได้                นอกจากนี้จะทำให้การอ่านของเขามีความแม่นยำและจะเป็น การอ่านที่ดี ได้ ไม่ว่าจะไปรวมกับอักษรตัวไหนก็ตาม ก็สามารถที่จะอ่านออกเสียงได้อย่างถูกต้องตามต้นฉบับ รวมไปถึงการออกเสียงสระที่มีความสูงต่ำได้ดี โดยไม่ผิดเพี้ยนอีกด้วย และเหมือนเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับตัวของเด็กเอง ซึ่งการที่เราจะฝึกเขาให้เข้าใจในตัวสระนั้นก็ไม่ยากเลย เพียงแค่มั่นฝึกฝนและให้เวลากับเขาได้เรียนรู้และทำความเข้าใจกับสระนั้น ๆ ไปทีละตัว                โดยการฝึกควรให้เด็กได้เข้าใจกับตัวอักษร 1 ตัวไปก่อน อย่าเพิ่งไปสอนทีละหลายตัวรวมกัน เพราะอาจจะทำให้ลูกของเราเกิดความสับสนกับเสียงที่อ่านออกมาได้ ซึ่งถ้าเจอปัญหาเกี่ยวกับเสียงที่ออกมานั้น มันจะแก้ไขค่อนข้างยากเลยทีเดียว เพราะเด็กก็จะออกเสียงแบบที่ตัวเองเข้าใจก่อนเสอม หากไม่ได้รับการแก้ไขเกี่ยวกับปัญหาในการอ่านครั้งนี้ รับรองว่าผลที่ตามมาจะค่อยดีนักเท่าไร ทางกลับกันหากลูกของเรามีความเข้าใจในตัวสระ ก็จะทำให้เขามี การอ่านที่ดี…

นับว่าเป็นสิ่งสำคัญเหมือนกัน เพราะเหมือนเป็นสื่อกลางให้เด็กได้เรียนรู้และมีความเข้าใจมากขึ้น

สื่อการเรียนการสอน เปิดโลกการเรียนรู้ ช่วยให้เด็กเข้าใจง่ายขึ้น

               สื่อการเรียนการสอน นับว่าเป็นสิ่งสำคัญเหมือนกัน เพราะเหมือนเป็นสื่อกลางให้เด็กได้เรียนรู้และมีความเข้าใจมากขึ้น โดยครูผู้สอนหรือผู้ปกครองก็สามารถทำอุปกรณ์สื่อการเรียนการสอนได้เหมือนกัน เพียงแค่ออกแบบให้เหมาะสมกับสิ่งที่เรากำลังจะสอนเขาและให้มันไปในทิศทางเดียวกัน ก็สามารถเปิดโลกการเรียนรู้ให้กับเขาได้แล้ว  สื่อการเรียนการสอนตัวแปรให้เด็กเข้าใจง่ายขึ้น                สื่อการเรียนการสอน ก็เหมือนเป็นตัวแปรให้เด็กได้เห็นภาพและลงมือทำของจริง เพราะในบางครั้งเราอธิบายให้เขาฟังอย่างเดียว อาจจะทำให้ความเข้าใจในตัวของเด็กเองอาจจะคลาดเคลื่อนก็เป็นได้ และหากเด็กคนไหนมีทักษะในการฟังที่ไม่ค่อยดี ก็เท่ากับว่าสิ่งที่เขารับฟังมานั้นไม่ส่งผลให้เขาเข้าใจในเรื่องราวที่เรียนมาเลย ก็จะทำให้เด็กรู้สึกว่าสิ่งที่เขากำลังเรียนอยู่มันยากเหลือเกิน จนทำให้เขาไม่อยากเรียนในวิชานั้น ๆ เลย เพราะว่าไม่มีความเข้าใจกับสิ่งที่กำลังเรียนรู้                โดยจากการผลวัยถ้าวิชาไหนมี สื่อการเรียนการสอน วิชานั้น ๆ เด็กนักเรียนก็จะชอบมากเป็นพิเศษ เพราะดูไม่น่าเบื่อ อีกทั้งยังทำให้พวกเขามองเห็นภาพรวมไปถึงความเข้าใจในเนื้อหาที่มีมากขึ้น และหากไม่เข้าใจตรงไหนก็สามารถที่จะถามครูผู้สอนผ่านสื่อการเรียนการสอนนี้ได้ มันยิ่งช่วยให้เด็ก ๆ สนุกกับการเรียนรู้ แถมผลคะแนนที่ออกมานั้นมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นตามไปอีกด้วย กับวิชาที่ใช้สื่อการเรียนการสอน                นอกจากนี้ สื่อการเรียนการสอน ยังมีหลากหลาย ซึ่งมันก็ไม่มีแบบที่ตายตัวหรือจำกัดอะไรมากมาย เพราะมันขึ้นอยู่กับคนที่สร้างอุปกรณ์นี้ขึ้นมา โดยใช้ความคิดของตัวเองในการทำสื่อเพื่อให้เด็กได้เข้าใจกับสิ่งที่เรียนรู้ อย่างสื่อการเรียนการสอนเกี่ยวกับการปลูกต้นไม้ ก็จะทำสื่อออกมาโดยเริ่มต้นตั้งแต่ให้เด็กได้เห็นเมล็ดพันธุ์ และเริ่มโตขึ้นมาเป็นต้นกล้าจนกลายเป็นต้นไม้ หรือครูผู้สอนก็ให้ผู้เรียนได้ลงมือปลูกด้วยตนเอง เพื่อให้เขาได้เข้าใจในวัฎจักรของการเจริญเติบโตนั่นเอง ติดตามบทความ การศีกษาไทย เคล็ดลับการสอบ เคล็ดลับการอ่านหนังสือ ข่าวการศึกษา ได้ที่นี้ แนะนำ ความรู้รอบตัว…

กระทรวงการศึกษาธิการ แพลนเพิ่มงบ “โครงการอาหารกลางวัน” ในปี 2565

กระทรวงการศึกษาธิการ แพลนเพิ่มงบ “โครงการอาหารกลางวัน” ในปี 2565

               เรื่องอาหารกลางวันเป็นเรื่องที่มีความสำคัญกับเด็กอย่างมาก โดยเฉพาะโรงเรียนในต่างจังหวัดที่อยู่ห่างไกล และครอบครัวส่วนใหญ่ที่ส่งลูกมาเรียนมีความยากจน การให้เด็กได้รับประทานอาหารอย่างสมบูรณ์นอกจากจะทำให้เด็กมีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แล้ว เด็กยังมีสุขภาพจิตและสมองที่พร้อมในการเรียนรู้มากขึ้นอีกด้วย แม้จะไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องความยากจนให้หมดไปได้แต่ก็ช่วยให้เด็ก ๆ ที่ชีวิตการศึกษารวมถึงการรับประทานอาหารที่ดีขึ้นอีกด้วย ทางกระทรวงการศึกษาธิการก็ได้มองเห็นถึงสำคัญของสิ่งนี้ด้วยเช่นกัน ดังนั้น กระทรวงการศึกษาธิการ จึงมีการแพลนที่จะเพิ่มงบ โครงการอาหารกลางวัน ในปี 2565 ปรับเพิ่มงบโครงการอาหารกลางวันเด็กนักเรียน                นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการศึกษาธิการ ได้ประกาศออกมาอย่างชัดเจนแล้วว่าขณะนี้ ได้เตรียมที่จะเพิ่มงบประมาณใน โครงการอาหารกลางวัน ด้วยให้มากขึ้น หลังจากที่ไม่มีการเพิ่มงบประมาณมาเป็นเวลาขณะหนึ่งแล้ว โดยเริ่มต้นตอนนี้ทุกโรงเรียนได้รับเงินค่าอาหารกลางวันให้เด็กคนละ 20 บาท ซึ่งแพลนที่จะเพิ่มค่าอาหารกลางวันนั้นเป็นแบบขั้นบันได กล่าวคือเงินที่นักเรียนแต่ละคนได้จะขึ้นอยู่กับจำนวนนักเรียนที่โรงเรียนนั้น ๆ เช่น โรงเรียนที่มีนักเรียนตั้งแต่ 1 – 20 คนจะปรับเงินค่าอาหารกลางวันเป็น 36 บาท, โรงเรียนที่มีนักเรียนตั้งแต่ 21 – 40 คนจะปรับเงินค่าอาหารกลางวันเป็น 31 บาท, โรงเรียนที่มีนักเรียนตั้งแต่ 41 – 60 คนจะปรับเงินค่าอาหารกลางวันเป็น…

เรียนยังไงให้ได้เกรดดี ให้เหมาะกับตัวเอง “ฉบับนักศึกษาน้องใหม่”

เรียนยังไงให้ได้เกรดดี ให้เหมาะกับตัวเอง ฉบับนักศึกษาน้องใหม่

          การเรียนในระดับชั้นมหาวิทยาลัย จะมีความแตกต่างจากระดับชั้นมัธยมที่มีหนังสือแบบเรียนตายตัว แต่ในรั้วมหาวิทยาลัยนั้น อาจารย์แต่ละท่านจะมีวิธีการที่หลากหลาย แต่หลัก ๆ ที่แน่นอนเลยก็คือการสอนแบบบรรยายที่จะต้องพบอย่างแน่นอน ซึ่งวิธีการเรียนของนักศึกษาสามารถทำได้หลายรูปแบบ เช่น การจดเลคเชอร์ พิมพ์ลงในโน๊ตบุ๊ค ถ่ายรูปสไลค์ รวมถึงอัดเสียง ฉะนั้นแล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราจะ เรียนยังไงให้ได้เกรดดี และวิธีการเรียนแบบไหนเหมาะสมกับตัวเราที่สุด วันนี้เราจะมาแนะนำกัน แนะนำวิธีการเรียนยังไงให้ได้เกรดดี           เรียนยังไงให้ได้เกรดดีการเรียนแบบจดเลคเชอร์ คือการจดรายละเอียดสำคัญที่อาจารย์พูด ซึ่งควรมีสมุดโน้ตเล่มที่หนาเล็กน้อยและต้องมีปากกาหรือดินสอที่ไม่พังง่าย วิธีการเรียนแบบนี้ เหมาะกับคนประเภทชอบความรวดเร็ว เพราะสามารถจด วางผัง หรือเติมรายละเอียดปลีกย่อยได้ตลอดเวลา ซึ่งเป็นวิธีที่เด็กไทยนิยมใช้กัน วิธีนี้อาจไม่เหมาะกับคนที่มีลายมืออ่านยาก เพราะหากย้อนกลับมาอ่านทำให้เข้าใจบางประเด็นผิดไป           เรียนยังไงให้ได้เกรดดีการเรียนแบบพิมพ์ลงไปในโน๊ตบุ๊คหรือในไอแพด คือการพิมพ์คำพูดและประเด็นต่าง ๆ ที่อาจารย์สอน คล้ายกับการเลคเชอร์ แต่อาจจะดีกว่าเพราะอ่านได้ง่าย ซึ่งวิธีการเรียนแบบนี้เหมาะกับผู้ที่พิมพ์ได้อย่างรวดเร็ว แต่วิธีนี้ก็มีข้อเสียคือหากอาจารย์มีแผนผัง รูปภาพต่าง ๆ มาประกอบ วิธีนี้อาจจะช้ากว่าการเขียนเลคเชอร์           เรียนยังไงให้ได้เกรดดีการถ่ายรูปสไลค์ คือ การใช้กล้องโทรศัพท์มือถือถ่ายรูปสไลค์หรือกระดานที่อาจารย์สอน วิธีการเรียนนี้เหมาะกับคนที่เรียนรู้อะไรได้อย่างรวดเร็ว แต่ข้อจำกัดคืออาจทำให้ผู้เรียนไม่ทราบถือรายละเอียดปลีกย่อยของเนื้อหาทั้งหมดที่อาจารย์อาจมีอธิบายเพิ่มเติม…

รู้เรื่อง การศึกษาไทย 4.0 ว่าจะมีทิศทางแนวโน้ม ในทิศทางที่ดีหรือถอยหลัง

รู้เรื่อง การศึกษาไทย 4.0 ว่าจะมีทิศทางแนวโน้ม ในทิศทางที่ดีหรือถอยหลัง

               เป็นคำถามของหลายๆคนว่า การศึกษาไทย 4.0 จะเดินไปในทิศทางใด จะลดลงหรือด้อยคุณภาพ มันเกิดอะไรขึ้นในยุคนี้ ที่เราควรจะต้องรู้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาของครูที่สอนแบบไม่ครบสาระวิชา ความรู้อาจจะมีความล้าสมัยอย่างรวดเร็ว และไม่มีประโยชน์ ส่วนหลายคนที่ต้องการรู้ว่าประเทศไทย มีระบบการศึกษาที่ดีที่สุดนั้นจะทำอย่างไร จะต้องทำอะไรที่ถูกต้องตลอดระยะเวลาในศตวรรษที่ 20 การศึกษานั้น เป็นเรื่องน่าเศร้าเพราะโลกของนอกโรงเรียนที่เปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างรวดเร็ว โลกแห่งความคุ้นเคยจากความเชี่ยวชาญในระบบการศึกษา อาจจะใช้ไม่ได้ ต้องอาศัยทักษะแห่งโลกอนาคต การเตรียมหลักสูตรอย่างเดียวคงไม่พอแน่สำหรับนักเรียนนักศึกษาในยุคอนาคต ทิศทางการศึกษาไทย 4.0 ในยุคปัจจุบัน                หลายคนบอกว่าการศึกษาของไทยในบ้านเรา ค่อนข้างจะเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อน มีการแบ่งสังคมมากกว่าแบ่งเรื่องของความถนัดของเด็ก ปัจจุบันก็จะเห็นว่าอาชีพมากมายมากกว่าครึ่ง ไม่ได้มีการเรียนอยู่ในหนังสือ ทำให้มองเห็นว่าในอนาคตข้างหน้าเด็ก ก็จะเรียนรู้ได้เอง ซึ่งโลกได้เปลี่ยนไปหมดแล้ว การเรียนรู้ของเด็กก็จะเปลี่ยนไปด้วยเช่นเดียวกัน                ส่วนคำถามคือพ่อแม่จะต้องปรับตัวอย่างไรใน การศึกษาของไทยสิ่งที่ชัดเจนที่สุดก็คือควรจะเปิดประตูให้พวกเขาได้สัมผัสและได้ก้าวเข้าสู่โลกอนาคต ซึ่งถึงเวลาแล้วที่พ่อแม่ไม่ควรปิดกั้นลูกของตนเอง และพยายามให้เด็กๆได้เรียนรู้เพื่อเตรียมความพร้อมกับการตัดสินใจของตนเอง                จากสถิติ การศึกษาไทย 4.0 ในปัจจุบัน ที่นักวิจัยบอกว่าเป็นความล้าหลัง โดยพบว่านักเรียนทั้งหมด 175,000 คน เฉพาะในกรุงเทพฯมีนักเรียนทั้งหมด 23,000…

ความรู้รอบตัว วิชาที่ได้ใช้จริง

ความรู้รอบตัว เป็นพื้นฐานของการเรียนรู้ เป็นเหมือนวิชาที่ได้นำมาใช้ในชีวิตจริง

               หากพ่อแม่เป็นสื่อกลางให้การส่งเสริมความรู้รอบตัวให้กับลูกของเรา ก็จะทำให้โลกกว้างของการเรียนรู้นั่นเปิดกว้างมากยิ่งขึ้น จนนำพาไปสู้พื้นฐานของการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา และทำให้เด็กเปิดรับสิ่งที่แปลกใหม่อยู่เสมอ เพราะ ความรู้รอบตัว ก็เหมือนวิชาที่ได้นำมาใช้ในชีวิตจริงเลย แล้วมันจะทำให้มุมมองของเด็กมีวิสัยทัศน์ก้าวไกลในภายภาคหน้าได้อีกโดย ความรู้รอบตัวการเรียนรู้แบบไม่มีวันจบสิ้น                ซึ่งความรู้รอบตัวก็ไม่มีการจำกัดความ สามารถที่จะเรียนรู้ได้ตอลดเวลาแบบไม่มีวันจบสิ้น เหมือนเป็นการต่อยอดให้เขาได้เข้าใจบนโลกกว้างใบนี้มากขึ้น และในบางครั้ง ความรู้รอบตัว ก็ไม่สามารถที่จะหาจากห้องเรียนได้ อีกทั้งไม่เหมือนกับพวกวิชาการทั่วไป เพราะความรู้รอบตัวสามารเรียนรู้ได้จากสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัวของเราเอง ไม่ว่าจะเป็น สิ่งของ เครื่องใช้ อุปกรณ์บริโภคอุปโภค หรือแม้แต่ธรรมชาติที่อยู่ใกล้ ๆ ล้วนนำมาประยุกต์เพื่อเป็นสื่อการเรียนการสอนได้                อย่างความรู้รอบตัวที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ เวลา อาหาร ยารักษาโรค เครื่องยนต์พาหะนะ เชื้อชาติ รวมไปถึงวิถีการดำเนินชีวิตต่าง ๆ ก็สามารถหยิกยกนำมาสอนพวกเขาได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้สื่อการเรียนการสอนในห้องเรียนเลย เพียงเท่านี้พวกเขาก็สนุกการเรียนรู้พร้อมเปิดโลกกว้างพร้อมกับพวกเราแล้ว เหมือนคำที่ว่าครูคนแรกของลูกก็คือพ่อและแม่นั่นเอง                โดยความรู้รอบตัวก็ยังมีมากมายจากนอกบ้านของเรา ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เด็ก ๆ ได้ไปเรียนรู้กัน เพียงแต่ว่าสถานที่พวกนี้พ่อและแม่หรือผู้ปกครองต้องมีใจร่วมด้วย…

ระบบการศึกษาของมาเลเซีย เป็นอย่างไร มีความน่าสนใจ อย่างไรบ้าง

เจาะลึก ระบบการศึกษาของมาเลเซีย ว่าเป็นอย่างไร มีความน่าสนใจ อย่างไรบ้าง

          ประเทศมาเลเซีย บ้านใกล้เรือนเคียงของประเทศไทย ซึ่งน้อยคนนักที่จะรู้ถึงระบบการศึกษาของประเทศนี้ ที่จัดได้ว่ามีมาตรฐานในระดับนานาชาติพอตัว สามารถสร้างประชากรที่มีคุณภาพมากมาย ซึ่งในวันนี้เราจะมา เจาะลึก ระบบการศึกษาของมาเลเซีย ว่ามีอะไรที่น่าสนใจบ้าง ทำความรู้จักแบบเจาะลึกถึงระบบการศึกษาของมาเลเซีย           ระบบการศึกษาของมาเลเซีย ในระดับชั้นประถมมีความคล้ายคลึงกับไทย ขณะที่ระดับชั้นมัธยมมีความแตกต่างเล็กน้อย คือเรียน 5 ปี และอีก 1 ปี จะเป็นปีแห่งการเรียนรู้เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งหลักสูตรเตรียมความพร้อม 1 ปี นี้ จะช่วยให้เด็กมั่นใจกับสิ่งที่ตนจะเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย อีกทั้งช่วยลดโอกาสเด็กซิ่วได้              ระบบการศึกษาของมาเลเซีย ในระดับชั้นประถมและมัธยม ผู้ปกครองจะมีวัฒนธรรมส่งบุตรหลานเข้าโรงเรียนตามกลุ่มชาติพันธุ์ของครอบครัว เพื่อให้ทายาทได้ศึกษาองค์ความรู้ของชาติพันธุ์แม่ ทั้งวัฒนธรรมและภาษา แต่ถึงกระนั้นโรงเรียนทุกกลุ่มชาติพันธุ์จะต้องมีสอนภาษาภาคบังคับจากรัฐบาล คือ ภาษามลายูและภาษาอังกฤษ ทำให้เด็กอินเดียและจีน ได้เปรียบกว่าเด็กมลายู เพราะเด็กทั้งสองกลุ่มชาติพันธุ์ ได้เรียนรู้ภาษาแม่กับภาษามลายูและอังกฤษ รวมเป็นสามภาษา ขณะที่เด็กมลายูจะได้เพียง สองภาษา คือ มลายูและอังกฤษแต่อย่างไรก็ตามในระดับมหาวิทยาลัยเด็กทุกชาติพันธุ์ ทั้งมลายู จีน และอินเดีย…