อนุบาล

5 ข้อต้องพิจารณา ก่อนเลือก เรียนภาษาที่ 3 เพื่อประโยชน์ กับตัวเองในระยะยาว

5 ข้อต้องพิจารณา ก่อนเลือก เรียนภาษาที่ 3 เพื่อประโยชน์ กับตัวเองในระยะยาว

ภาษาอังกฤษเป็นสากลที่ควรสื่อสารได้ แต่ในปัจจุบันการ เรียนภาษาที่ 3 นับได้ว่าทักษะที่ควรจะเรียนรู้ไว้เพื่อเพิ่มมิติกับตัวเองและเพื่อโอกาสที่มากขึ้นในโลกของการทำงาน ก่อนเลือก เรียนภาษาที่ 3 ต้องพิจารณาอะไรบ้าง? 1.พิจารณาเลือกเรียนภาษาที่ 3 โดยคำนึงถึง โอกาสที่จะได้ใช้ การเรียนภาษาโดยดูจากโอกาสที่จะใช้ ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เช่น จะสามารถหางานได้ง่ายขึ้นหรือไม่ ภาษานี้มีบุคลากรขาดแคลนหรือเปล่า เพราะถ้าหากเรียนแล้วแต่งานรองรับน้อยก็จะทำให้ได้ไม่คุ้มเสียกับการลงแรงเรียนไป 2.พิจารณาเลือกเรียนภาษาที่ 3 ด้วยความยาก-ง่าย ลักษณะของภาษา หากเราพิจารณาจากข้อแรกแล้วข้อนี้ก็นับว่าเป็นเรื่องสำคัญ เพราะการเรียนภาษามีความยากง่ายไม่เท่ากัน เช่น ภาษาจีน หรือญี่ปุ่น อาจต้องใช้เวลาเรียนนานมากกว่า 5 ปี ถึงจะชำนาญ ซึ่งถ้าเทียบกับภาษามลายูหรืออินโดนีเซีย อาจใช้เวลาสั้นกว่าเพียง 2-3 ปี ก็ชำนาญได้ 3.พิจารณาเลือกเรียนภาษาที่ 3 ดูจาก ระยะทาง จากประเทศไทยไปประเทศนั้น แน่นอนว่าเรื่องนี้ก็นับเป็นเรื่องที่ต้องนำมาพิจารณาด้วย เพราะเมื่อใดก็ตามที่เราเลือกเรียนภาษานั้นไปแล้ว ก็เสมือนว่าเราจะต้องใกล้ชิดกับประเทศนั้นด้วย ซึ่งเราก็ไม่มีทางทราบได้ว่าอนาคตจะต้องไปทำงานในประเทศนั้นหรือไม่ โดยหากใครชื่นชอบประเทศนั้นอยู่แล้วก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าใครไม่ชอบเดินทางไกล หรือไม่ชอบห่างบ้านนาน ๆ…

ว่าด้วยเรื่อง ประวัติของแคน สรุปแล้วแคน มีที่มาจากไหน ?

ว่าด้วยเรื่อง ประวัติของแคน สรุปแล้วแคน มีที่มาจากไหน

แคน นับเป็นเครื่องดนตรีชนิดหนึ่ง ที่ถูกกล่าวขานถึงเสียงที่ไพเราะ ยามในที่ได้ยินก็จะทำให้นึกถึงบรรยากาศท้องทุ่งและภูมิทัศน์อันเงียบสงบ ทำให้แคนกลายเป็นเครื่องดนตรีดั่งสัญลักษณ์ของภาคอีสาน และของประเทศลาว แต่มีใครรู้ไม่ว่าแท้จริงแล้ว ประวัติของแคน อาจไม่ได้ถือกำเนิดมาจากสองประเทศดังกล่าว แม้จะมีหลักฐานจากการขุดพบแคนจากหลุมฝั่งศพ เพราะมีหลักฐานชิ้นสำคัญที่เก่าแก่กว่านั้น ทำความรู้จัก ประวัติของแคน เครื่องดนตรี คู่ถิ่นอีสาน ประวัติของแคน ที่น่าสนใจ ตามวัฒนธรรมดองซอน คือ กลุ่มอารยธรรมเก่าแก่ ที่มีศูนย์กลางอยู่ในแถบภาคกลางของเวียดนามและแผ่กว้างไปถึงจีนตอนใต้ ลาว และบริเวณภาคอีสานของไทย สำหรับหลักฐานสำคัญที่พบเป็นขวานหิน โดยที่ด้ามขวานมีรอยสลักเป็นรูปผู้หญิงกำลังเป่าแคนอยู่ ทำให้หลักฐานชิ้นนี้ค่อนข้างสำคัญและตอกย้ำถึงทฤษฎีที่มีมาก่อนหน้านี้ว่าการเป่าแคนเมื่อ 2-3 พันปีก่อน ในยุคที่ยังนับถือศาสนาผี ผู้หญิงคือเพศที่มีความสำคัญ มีอภิสิทธิ์ทางสังคมเหนือกว่าผู้ชายในหลายบริบท ที่แม้แต่การเป่าแคนเพื่อเรียกผีมาทำพิธีกรรม ยังต้องเป็นหน้าที่ของผู้หญิง กรทั่งจุดเปลี่ยนสำคัญ คือเมื่อศาสนาพราหมณ์ฮินดูและพุทธเข้ามา ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงแนวคิดทางสังคม จนแปรเปลี่ยนเป็นการเชิดชูและให้อำนาจทางเพศแก่เพศชาย จวบจนปัจจุบัน ตาม ประวัติของแคน จากเครื่องมือที่ใช้เป่าเพื่อเรียกผี ได้ถูกวิวัฒนาการจนกลายเป็นเครื่องดนตรีในที่สุด ซึ่งมีกรรมวิธีที่ต้องใช้ความละเอียดและประณีตของช่างแคน กระทั่งกลายเป็นดนตรีสัญลักษณ์ประจำถิ่นของภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ในตอนกลางของลาว ส่วนในเวียดนามพื้นที่ต้นทาง ไม่หลงเหลือวัฒนธรรมดนตรีแคนอีกแล้ว สำหรับแคนมีการปรับตัวให้เข้ากับดนตรีสากลด้วยการมีโน้ต ที่สามารถจำแนกออกมาได้ 5…

ไขความรู้นอกตำรา ทำไม ภาษาอังกฤษ ถึงไม่มี คำว่า กู-มึง ?

ไขความรู้นอกตำรา ทำไม ภาษาอังกฤษ ถึงไม่มี คำว่า กู-มึง ?

ใครหลายๆคนอาจจะสังเกตได้ว่า เมื่อใดก็ตามที่เราเขียนหรือสื่อสารภาษาไทยคำว่า กู ข้า ข้าพเจ้า ฉัน หรือเรา เมื่อนำไปเทียบแปลกับภาษาภาษาอังกฤษ จะได้คำว่า I (ฉัน) คำเดียวเท่านั้น หรือกลับกันคำว่า มึง แก เอ็ง เธอ คุณ เมื่อนำไปเทียบแปลกับภาษาอังกฤษก็จะได้แค่คำว่า You (เธอ) เท่านั้นเหมือนกัน ซึ่งเคยสงสัยกันไหมว่าทำไม ภาษาอังกฤษ ถึงไม่มีคำอื่นบ้าง และทำไมถึงมีแค่นี้  ภาษาอังกฤษ และภาษาอื่น ๆ ในทวีปยุโรป มีระดับของคำ ที่ใช้เรียกกลุ่มคนต่าง ๆ ก่อนอื่นต้องกล่าวก่อนว่าในอดีต ภาษาอังกฤษ และภาษาอื่น ๆ ในทวีปยุโรปก็มีระดับของคำที่ใช้เรียกกลุ่มคนต่าง ๆ เหมือนเฉกเช่นภาษาของพวกเรา แต่สังคมยุโรปในยุคเปลี่ยนผ่านจากสังคมชนชั้นศักดินาเป็นยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ ซึ่งเป็นการเข้าสู่ยุคระบบสังคมแบบใหม่ที่ให้คุณค่าความเป็นปัจเจกชนว่าทุกคนเท่าเทียมกัน นั้นจึงทำให้หลายสิ่งหลายอย่างในสังคมเปลี่ยนแปลงตามไป ไล่ตั้งแต่ระบบครอบครัวที่เกิดค่านิยมการย้ายออกไปมีบ้านเป็นของตัวเอง ทุกคนสามารถมีของใช้เป็นของตัวเองได้ด้วยการซื้อ รวมถึงที่กำลังกล่าวถึงในหัวเรื่องนี้ นั่นคือระดับภาษาที่ถูกปรับเปลี่ยนจนเป็นอย่างที่เราเห็น ส่วนในระบบสังคมเอเชีย เราไม่เคยเผชิญกับยุคการเปลี่ยนผ่านสังคมขนานใหญ่แบบยุโรป นั่นจึงทำให้พวกเราไม่ได้ซัมซับตามระบบบรรทัดฐานแบบยุโรป…

รู้หรือไม่ ? ลอกการบ้าน ของเพื่อน ก็สามารถ ทำให้เราเก่งขึ้นได้

รู้หรือไม่ ? ลอกการบ้าน ของเพื่อน ก็สามารถ ทำให้เราเก่งขึ้นได้

ชื่อว่าน้อง ๆ หลายคนที่อยู่ในวัยมัธยมจะต้องมีบ้างกับประสบการณ์ขอเพื่อนลอกการบ้าน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลทำการบ้านไม่ทัน ไม่เข้าใจเนื้อหา หรืออะไรก็ตามแต่ แม้ว่าจะมีการบอกกล่าวกันเป็นประจำว่าการลอกการบ้านนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำและควรอย่างยิ่งที่ต้องทำการบ้านด้วยตัวเอง ซึ่งก็เป็นเรื่องจริงหากน้อง ๆ ลอกไปแบบผ่าน ๆ นั่นย่อมไม่เกิดประโยชน์และจะเป็นโทษแก่น้อง ๆ เมื่อยามสอบ แต่สำหรับวันนี้เราจะมาคิดหักมุมกันว่า การลอกการบ้านนั้นก็มีประโยชน์หากเรามีวิธีคิดที่ถูกต้อง ซึ่งหลักการ ลอกการบ้าน แต่ละวิชาจะมีความแตกต่างกันออกไป โดยมีตัวอย่างดังนี้ หลักการ ลอกการบ้าน แต่ละวิชาจะมีความแตกต่างกันออกไป โดยมีตัวอย่างดังนี้ วิชาคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และที่เกี่ยวกับการคำนวณ วิชานี้จะมีหัวใจหลักคือการใช้สูตรที่ถูกต้องกับโจทย์ การทำโจทย์บ่อย ๆ จะทำให้น้อง ๆ ชำนาญว่าควรวางสูตรไหน ฉะนั้นเมื่อน้อง ๆ ได้ลอกการบ้านมาแล้ว น้อง ๆ จะต้องนำสิ่งที่ลอกมาดูซ้ำเพื่อสังเกตวิธีการคิดนวณของเพื่อน เมื่อเริ่มจับทางได้ น้อง ๆ ก็ต้องริเริ่มทำโจทย์ด้วยตัวเองและลดการลอกการบ้านลง จะทำอีกก็ต่อเมื่อเราไม่เข้าใจเพียงพอ วิชาภาษาอังกฤษและภาษาอื่น ๆ วิชาที่เกี่ยวข้องกับภาษาอาจมีตัวบ่งชี้ว่าถูกหรือผิด แต่มันก็มีอีกมุมที่ต้องมาดูบริบทว่าการใช้คำและรูปประโยคนั้นเหมาะสมกับสถานการณ์ด้วยหรือไม่ ฉะนั้นเมื่อน้อง ๆ…

ข้อเท็จจริง การตีเด็ก คือความรุนแรง หรือ เพื่อการสั่งสอน ?

ข้อเท็จจริง การตีเด็ก คือความรุนแรง หรือ เพื่อการสั่งสอน ?

การตีเด็ก เป็นวิธีการหนึ่งที่สังคมไทยใช้มาอย่างยาวนานเพื่อลงโทษเด็กเมื่อกระทำผิด จนเคยมีคำกล่าวว่า “ไม้เรียวนั้นสร้างคนให้ได้ดีมานักต่อนัก” แต่ในปัจจุบันเริ่มมีแนวความคิดที่ต่างออกไป โดยมองว่าการตีนั้นไม่ได้ช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้ อีกทั้งยังเป็นการปลูกฝังความรุนแรง นี่จึงการเป็นปัญหาที่ถูกถกเถียงว่าสุดท้ายแล้วการตีเด็กมันคือความรุนแรง หรือเพื่อการสั่งสอน การตีเด็ก ดาบสองคม สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ ประเด็นสำคัญนี้จะต้องย้อนไปถึงตัวพ่อแม่ ผู้ปกครอง เป็นสำคัญว่าการตีของเรานั้นเป็นอย่างไร หาก การตีเด็ก ด้วยความโกรธ ยกอารมณ์หรือความพอใจของตัวเองอยู่เหนือเหตุผล และขาดการพูดสั่งสอนหรืออธิบาย นั่นจึงเข้าข่ายเป็นการตีเด็กที่ใช้ความรุนแรง ซึ่งผลเสียของมันจะกระทบต่อเด็กโดยตรง เช่น เด็กจะซึมซับความรุนแรงตั้งแต่อายุยังน้อย เด็กจะไม่กล้าคิดกล้าแสดงออกเพราะเกรงกลัวว่าจะโดนตี และหากร้ายแรงที่สุดคือ ถ้าเด็กเหล่านี้เติบโตเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น อาจทำให้เด็กเหล่านี้เกิดความอึดอัดใจ และต้องการหาพื้นที่ที่สบายใจมารองรับ โดยเฉพาะการหันไปพึ่งพิงพื้นที่สังคมนอกบ้านแทน เพื่อฉีกตัวออกห่างจากพ่อแม่ ซึ่งจะเป็นความเสี่ยงอันตรายที่อาจทำให้เด็กเหล่านี้เดินทางชีวิตผิด ประเด็นสำคัญที่จะต้องทบทวนใหม่หากยังต้อง การตีเด็ก เพื่อสั่งสอน คือ การใช้เหตุและผลให้มากที่สุด โดยพ่อแม่ จะต้องเป็นผู้นำมาใช้และสร้างให้เป็นบรรทัดฐานแก่เด็ก และเมื่อใดที่เด็กกระทำผิดก็ต้องมีการอบรมสั่งสอนด้วยการพูดอธิบาย ว่าผิดอย่างไรทำไมถึงจะต้องโดนตี  การกระทำที่ถูกต้องควรปฏิบัติอย่างไร และตีสั่งสอนไป ซึ่งจะทำให้การตีเด็กมีผลดีกับตัวเด็กมากขึ้น อีกทั้งเด็กจะมีการเรียนรู้และปรับปรุงตัว เพื่อที่จะให้ตัวเองไม่โดนตีอีก นอกจากนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือพ่อแม่ต้องปฏิบัติตัวเพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีแก่เด็กเพื่อให้สิ่งที่ได้สอนไปนั้นเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ฉะนั้นแล้วจึงจะเห็นได้ว่า การตีเด็ก มีลักษณะเหมือนดาบสองคม…

การเข้าแถวหน้าเสาธง…ช่วยให้นักเรียน และเยาวชน มีระเบียบวินัย จริงหรือไม่

การเข้าแถวหน้าเสาธง…ช่วยให้นักเรียน และเยาวชน มีระเบียบวินัย จริงหรือไม่

               การเข้าแถวหน้าเสาธง ของโรงเรียนในอดีตและในปัจจุบัน  มีบริบทที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง  แต่ก็ยังเชื่อว่าการเข้าแถวหน้าเสาธงจะช่วยให้เด็กมีวินัยในตนเอง  เคารพกฎกติกาของโรงเรียน  แต่ลืมไปว่าเมื่อสภาพสังคมเปลี่ยนแปลง  การเข้าแถวหน้าเสาธงจะกลายเป็นเรื่องที่น่าเบื่อไปโดยปริยาย  เนื่องด้วยเวลาเปลี่ยน  แต่เหมือนการนำเสนอ  การเข้าแถวหน้าเสาธง  รวมทั้งเรื่องราวที่นำเสนอกลับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง  และไม่เชื่อว่าจะช่วยบ่มวินัยในเด็กได้เหมือนปัจจุบัน การเข้าแถวหน้าเสาธง กับเด็กในยุคปัจจุบัน ก่อนอื่นจะต้องแยกระหว่าง การเข้าแถวหน้าเสาธง กับวินัยในโรงเรียนให้ออกเสียก่อน  เนื่องด้วยการเข้าแถวในปัจจุบันไม่ครอบคลุมเนื่องด้วยจากสถานการณ์เสี่ยงต่อติดเชื้อ  สภาพแดดร้อนในประเทศไทย   และการจัดแถวที่สื่อให้เห็นด้านลบในสายตาชัดเจน  เช่น  เด็กนักเรียนเข้าแถวกลางแดด  แต่ครูกลับกางร่มบังแดด  แทนที่จะหาที่ร่มให้เด็กได้หลบแดดมากกว่าที่จะอ้างว่าฝึกความอดทนเสียอีก  แล้วนั่นก็เป็นสองมาตรฐานระหว่างช่องว่างระหว่างวัยเพิ่มขึ้น  ต่อมาในส่วนของวินัย  ถ้าจะให้ดีควรแก้ไขที่โครงสร้างสังคมก่อนอันดับแรก  เนื่องด้วยวินัยสามารถสร้างได้ที่โรงเรียนก็จริง  แต่จะมีวินัยนั้น  ครูต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเด็กและเยาวชน  โดยเฉพาะการต่อแถว  การตรงเวลา  การรับผิดชอบต่อหน้าที่และงานสอนของตนเอง  หาใช่เรียกร้องวินัยจากเด็กเพียงฝ่ายเดียวไม่  ถ้ายังเป็นเช่นนั้นอยู่  กลับสะท้อนในปัญหาการศึกษาชัดเจน  ซึ่งในประเทศไทยมิได้เป็นแค่หลักสูตรการสอบเข้าเท่านั้น  แต่จริยธรรม  ทัศนคติที่ดีกลับไม่ได้ปลูกฝังที่ดีในผู้ใหญ่  จึงทำให้เห็นภาพในสื่อที่ไม่ดีในด้าน การเข้าแถวหน้าเสาธง ในหลายครั้ง  ภาพลักษณ์ครูจะเสียความน่าเชื่อถือไปโดยปริยาย  เพียงกลายเป็นผู้บังคับออกคำสั่งด้วยกฎมากกว่าที่จะใช้จิตวิทยาครู ในมุมมองของผู้เขียน  การเข้าแถวอาจจะไม่ใช่เป้าหมายของการสร้างวินัยในนักเรียนอีกต่อไป  แต่สิ่งที่จะสร้างวินัยที่ดีที่สุดนั่นก็คือผู้ใหญ่นี่แหล่ะ  เพราะผู้ใหญ่วันนี้คือเด็กในวันวานมาก่อน  และเด็กในวันนี้ก็คือผู้ใหญ่ในวันหน้าเช่นกัน …

การส่งเสริม พัฒนาการทางสมอง ทั้ง 5 ด้านง่าย ๆ ที่คุณครูไม่ควรพลาด

การส่งเสริม พัฒนาการทางสมอง ทั้ง 5 ด้านง่าย ๆ ที่คุณครูไม่ควรพลาด

               คำว่า “คุณครู” ไม่ได้มีหน้าที่สอนศิษย์ให้เข้าใจในเนื้อหาสาระหรือเป็นแม่พิมพ์พ่อพิมพ์อย่างเดียว ทว่าความเป็นครูที่ดี ควรเสริมสร้างพัฒนาการในทุก ๆ ด้านของนักเรียนให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด เนื่องจากนักเรียนไทยใช้เวลาในการอยู่โรงเรียนมากกว่าอยู่บ้าน ใช้ชีวิตทั้งหมดของวันไปกับการเรียน การทำรายงาน การทำการบ้าน เป็นต้น ดังนั้นผู้ปกครองจึงไว้วางใจคุณครู หน้าที่ของครูจริง ๆ แล้วต้องสร้างเด็กทุกคนให้เป็นคนเก่งและคนดีของสังคมได้ โดยไม่มีการแบ่งชนชั้น นักเรียนทุกคนต้องได้รับการเอาใส่ใจและสั่งสอนที่ทุกคน ซึ่ง พัฒนาการทางสมอง ทั้ง 5 ด้านจึงเป็นพื้นฐานของการรับความรู้ที่คุณครูควรพัฒนา ดังนี้ พัฒนาการทางสมอง 5 ด้านให้กับเด็กๆ นักเรียน ด้านวิชาการและการมีวินัย ซึ่งเป็นหน้าที่พื้นฐานอยู่แล้วที่คุณครูทุกคนต้องปฏิบัติ คือ การสอนหนังสือนักเรียนให้ได้ประสิทธิภาพรวมถึงสร้างระเบียบวินัยในนักเรียน สำคัญ! เป้าหมายของการเรียนไม่ได้เรียนเพื่อรู้อย่างเดียว ต้องเรียนเพื่อนำไปใช้ได้ในชีวิตจริง ด้านการสังเคราะห์ เป็นด้านที่เด็กไทยส่วนใหญ่ไม่ถนัด ดังนั้นคุณครูต้องเร่ง พัฒนาการทางสมองในส่วนของสังเคราะห์ หากเด็กนักเรียนแยกแยะเรื่องราวต่าง ๆ ไม่ได้ ถือว่าคุณครูไม่ประสบความสำเร็จในการสอนนั้นเอง ด้านสารสนเทศ เป็นที่ทราบกันดีว่าในปัจจุบันสื่อและเทคโนโลยีมีผลต่อการตัวผู้เรียนสูง หากไม่สอนให้นักเรียนเสพสื่ออย่างถูกต้องอาจส่งผลให้นักเรียนหลงผิดได้ เช่น ในการดูสินค้าทางอินเทอร์เน็ต คุณครูควรสอนให้เด็กซื้อสินค้าอย่างไร…?…

5 เทคนิคทำอย่างไร? ถึงจะทำให้ เด็กมีความกล้า และมั่นใจในตนเอง

5 เทคนิคทำอย่างไร? ถึงจะทำให้ เด็กมีความกล้า และมั่นใจในตนเอง

เนื่องจากในปัจจุบันต้องยอมรับเลยว่า…เด็กนักเรียนส่วนใหญ่ไม่มีความกล้าแสดงและความมั่นใจในตนเอง อาจเป็นเพราะการเรียนการสอนที่เน้นครูเป็นจุดศูนย์กลางไม่มีการจัดการเรียนการสอนที่ให้นักเรียนมีส่วนร่วมหรือผู้ใหญ่บางคนมีการปิดกั้นความคิดเด็ก ส่งผลให้อนาคตมีผลต่อการทำงาน เช่น การเป็นพิธีกรจำเป็นต้องมีความกล้าแสดงออก กล้าพูด กล้าคิด กล้าทำ เป็นต้น ซึ่งการพัฒนาให้ เด็กมีความกล้า ต้องอยู่ในขอบเขตของความถูกต้องและมี 5 เทคนิค ดังนี้ เทคนิคทำให้ เด็กมีความกล้า และมั่นใจในตนเอง เป็นแบบอย่างที่ดี เนื่องจากทฤษฎีการเรียนรู้ได้กล่าวไว้ว่า “การเรียนรู้ของเด็กมาจากการมองเห็นและจดจำ” ดังนั้นคุณครูได้ชื่อว่าเป็นพ่อพิมพ์แม่พิมพ์ของชาติ การกระทำเป็นแบบอย่างที่ดีให้นักเรียนจดจำนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่ควรกระทำอย่างยิ่ง เมื่อเด็กจดจำในสิ่งที่ดี ทัศนคติ ความคิด ก็จะดีตามนั้นเอง ไม่บังคับไม่กดดัน การที่ เด็กมีความกล้า ได้ เด็กต้องรวบรวมพลังกายพลังใจอย่างหนักหน่วง คุณครูต้องไม่กดดันแต่ให้กำลังใจส่งเสริมว่าสิ่งที่ทำมันดีแล้ว ต้องนึกถึงความสนใจของนักเรียน ในการฝึกให้เด็กกล้าแสดงออกและมั่นใจในตนเอง คุณครูต้องรู้ว่าเด็กชอบอะไร…? ให้นำสิ่งที่เด็กชอบมาถามหรือจัดการเรียนการสอนให้เด็กได้เสนอแนวคิดออกมา ห้ามนำสิ่งที่เด็กไม่ชอบไปถามนะคะเพราะถ้าเด็กตอบไม่ได้จะคิดว่าตนเองนั้นไร้ความสามารถ ต้องฝึกให้นักเรียนมีความกล้าที่จะคิด ทำ พูดากสิ่งที่ถนัดก่อนแล้วค่อยพัฒนาไปเรื่อย ๆ รับฟังทุกความคิด หากความคิดของเด็กไม่ตรงกับคุณครู คุณครูควรหยุดฟังนักเรียนจนจบแล้วคิดตามในมุมของนักเรียนแล้วปรับแก้ในส่วนที่ผิดจริง ๆ การเป็นครูที่ดีควรเป็นกลางนะคะ ให้โอกาส หากนักเรียนแสดงความคิดเห็นผิดนั้นถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดี ครูควรให้โอกาสนักเรียนต่อไปในการแสดงความคิดเห็นหรือตอบคำถาม…

วิชาภาษาจีน อีกหนึ่งวิชาพื้นฐาน ที่ในอนาคต อาจเป็นภาษาสากล กันเถอะ!!

วิชาภาษาจีน อีกหนึ่งวิชาพื้นฐาน ที่ในอนาคต อาจเป็นภาษาสากล กันเถอะ!!

วิชาภาษาจีน เป็นอีกวิชาเรียนหนึ่ง ที่นักเรียนต่างไม่มีพื้นฐานความรู้กันเลยเป็นส่วนใหญ่ โรงเรียนทั่วๆไปส่วนมากจะเน้นวิชาภาษาต่างประเทศ ที่เป็นภาษาอังกฤษมากกว่า แต่ไม่เสมอไป เพราะบางโรงเรียนก็มีนโยบาย ที่เปิดสอนให้นักเรียนได้เรียนรู้วิชานี้กันมากขึ้น เพราะการมองเห็นอนาคตอันไม่ไกลนี้นั้น ภาษานี้จะเป็นภาษาที่สามที่เป็นสากล อย่างแน่นอน ถ้าเช่นนั้นเรามาทำความเข้าใจ และทำความคุ้นเคยกับวิชานี้กันเถอะ วิชาภาษาจีน จะเป็นวิชาระดับสากลในอนาคต… อย่างที่กล่าวไปแล้วแต่ต้น แน่นอนว่าวิชานี้ในโลกอนาคตต้องเป็นภาษาที่ทุกคน ต้องเรียนรู้กันให้เก่ง เรียนรู้ให้ได้สามารถใช้งานได้จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรต่างๆก็จะมีการใช้วิชาที่เป็นภาษานี้กันมากขึ้นอย่างแน่นอน ดังนั้นผู้ปกครองควรเลือก ให้นักเรียนเข้าเรียนหรือศึกษาต่อในชั้นที่สูงขึ้น โดยการเลือกโรงเรียน ที่มีการสอนภาษานี้ในโรงเรียนก็จะเป็นการดีอย่างที่สุดเลยค่ะ ทำไมบางโรงเรียนจึงมีการเรียนการสอน วิชาภาษาจีน เหตุผลของหัวข้อนี้ ที่โรงเรียนบางที่ เค้ามีการเปิดสอนให้นักเรียน เรียนวิชานี้นั้น เพราะเค้ารู้ว่าในอนาคตภาษานี้จะก้าวเข้าสู่ระดับสากล นักเรียนต้องมีพื้นฐานภาษาจีนด้วย เพราะองค์กรต่างๆ จะเลือกรับบุคคลเข้าทำงาน โดยคนที่มีความถนัดมากกว่า ก็จะได้เปรียบมากกว่าอีกด้วย ประมาณนี้ค่ะ วิชาภาษาจีน กับการใช้ในชีวิตประจำวันจริงอยู่ที่ว่าตอนนี้ ในการใช้ชีวิตประจำวันของเรานั้น ยังไม่มีการพูดภาษานี้กันมากเท่าไร แต่การใช้ชีวิตที่รู้มากกว่า ก็จะได้เปรียบมากกว่า อย่างน้อยเราก็สามารถที่จะพูดคุย กับนักท่องเที่ยวชาวจีน ที่เข้ามาคุยกับเรา โดยที่เค้าก็ไม่รู้ว่าเรานั้น พูดภาษาพื้นบ้านของเค้าได้ไหม จะเป็นการดีอย่างมากถ้าเราพูดได้ และมีการคุยตอบโต้กันได้…

วิชาพระพุทธศาสนา คือวิชาพื้นฐาน ที่สอนให้นักเรียน มีกิริยามารยาทที่ดีงาม

วิชาพระพุทธศาสนา คือวิชาพื้นฐาน ที่สอนให้นักเรียน มีกิริยามารยาทที่ดีงาม

วิชาพระพุทธศาสนา เรียกได้ว่าเป็นวิชาเรียนกลางๆ ไม่ได้มีความยาก หรือว่าง่ายอะไรเลย เพียงใช้สมาธิตั้งใจในการเรียน เพราะวิชานี้เป็นพื้นฐานที่ดี สำหรับให้นักเรียนมีสติมีสมาธิ ในการเรียนวิชาอื่นๆให้ได้คะแนนที่ดีๆนั่นเอง เรียกว่ามีความสำคัญในลำดับต้นๆเลยก็ว่าได้ค่ะ ถ้าอย่างนั้นเรามาทำความเข้าใจ กับวิชานี้กันเถอะ!! วิชาพระพุทธศาสนา ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีมารยาทงาม… ที่มีการกล่าวเช่นนี้เพราะ ผู้ที่ได้เรียนวิชานี้นั้น จะมีสติมีการรู้เท่าทันความคิดของตนเอง จนสามารถรู้ได้ว่าเวลาไหนสมควรจะปฏิบัติตนแบบไหนนั่นเอง เช่น อยู่กับผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุกว่า ควรทำกิริยาเช่นใดเป็นต้น ดังนั้นการเรียนวิชานี้จึงมีความสำคัญมากจริงๆค่ะ ฝึกฝนจนติดเป็นนิสัย ก็จะมีแต่คนนิยมยกย่องนะคะเพื่อนๆ บุคคลที่มีจิตใจงามมักชอบเรียน วิชาพระพุทธศาสนา อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า การที่เราฝึกฝนบ่อยๆจะกลายเป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตน ไปโดยอัตโนมัติเนื่องจากความเคยชิน ส่งผลให้มีจิตใจที่เย็นไม่ร้อนลุ่ม ความดีงามจากใจจึงเกิดขึ้น เมื่อเกิดขึ้นแล้วนักเรียนก็จะชอบเรียนวิชานี้ แบบไม่ต้องสงสัย อีกอย่างสามารถเรียนได้ดีอีกด้วย ส่งผลให้เรียนวิชาต่างๆดีตามมาอีกนั่นเอง วิชาพระพุทธศาสนา กับการปรับใช้ในการดำเนินชีวิต ปกติแล้วเราเป็นชาวพุทธ มีการทำบุญในวันสำคัญทางศาสนาอยู่แล้ว เมื่อเราเรียนวิชานี้ก็จะมีการซึมซับ วัฒนธรรมต่างๆ ของศาสนาตามมาด้วย ทำให้เราสามารถนำมาปรับใช้กับความเป็นอยู่ หรือการดำเนินชีวิตในปัจจุบันได้โดยไม่ยากเลย อีกทั้งยุค2020นี้ การใช้ชีวิตแบบมีจิตใจที่ดีสำคัญมากๆ โดยพื้นฐานก็มาจากการเรียนรู้วิชานี้นั่นเอง จากที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ในการเรียนรู้ วิชาพระพุทธศาสนา ทำให้เรามีสติในการดำเนินชีวิต…